ผู้เขียน หัวข้อ: หมอออนไลน์: วัณโรคปอด (Pulmonary Tuberculosis / TB)  (อ่าน 2 ครั้ง)

siritidaphon

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 484
  • ซื้อขายสินค้ายานยนต์ โพสฟรีสินค้าทั่วไทย
    • ดูรายละเอียด
หมอออนไลน์: วัณโรคปอด (Pulmonary Tuberculosis / TB)
« เมื่อ: วันที่ 24 กรกฎาคม 2025, 16:10:22 น. »
หมอออนไลน์: วัณโรคปอด (Pulmonary Tuberculosis / TB)

วัณโรคปอด (Pulmonary Tuberculosis / TB) คือ โรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Mycobacterium tuberculosis ซึ่งส่วนใหญ่เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางระบบทางเดินหายใจ และแพร่เชื้อจากคนสู่คนผ่านละอองฝอยขนาดเล็กจากการไอ จาม หรือพูดคุยของผู้ป่วยวัณโรคปอดที่ยังไม่ได้รับการรักษา เมื่อเชื้อเข้าสู่ปอดจะทำให้เกิดการอักเสบและก่อตัวเป็นรอยโรคขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและครบถ้วน วัณโรคปอดอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต และสามารถแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นได้ง่าย

สาเหตุของวัณโรคปอด

เชื้อแบคทีเรีย: เกิดจากเชื้อ Mycobacterium tuberculosis เป็นหลัก

การแพร่เชื้อ: แพร่จากคนสู่คนผ่านละอองฝอยในอากาศ เมื่อผู้ป่วยวัณโรคปอดที่ยังไม่ได้รับการรักษา ไอ จาม พูด หรือหัวเราะ ละอองฝอยที่มีเชื้อปะปนจะลอยอยู่ในอากาศ และเมื่อผู้อื่นสูดหายใจเอาละอองฝอยนั้นเข้าไป เชื้อก็จะเข้าสู่ปอด

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ติดเชื้อและป่วยเป็นวัณโรค
ผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรคปอดมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับเชื้อ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ได้รับเชื้อจะป่วยเป็นวัณโรคทันที ร่างกายสามารถควบคุมเชื้อให้อยู่ในภาวะสงบได้ (เรียกว่า วัณโรคแฝง / Latent TB) แต่เชื้ออาจจะกำเริบขึ้นมาเมื่อ:

ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง/ต่ำ:

ผู้ติดเชื้อ HIV/AIDS (เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด)

ผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ดี

ผู้ป่วยโรคมะเร็ง (โดยเฉพาะมะเร็งที่เกี่ยวกับระบบเลือด)

ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน (เช่น ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ที่รับยากดภูมิ)

ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง

ผู้ป่วยโรคปอดเรื้อรัง (เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง - COPD)

ผู้สูงอายุ

ผู้ที่มีภาวะทุพโภชนาการ น้ำหนักน้อย

ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมและสังคม:

ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แออัด อากาศถ่ายเทไม่สะดวก

ผู้ที่อยู่ในเรือนจำ หรือสถานคุ้มครองต่างๆ

บุคลากรทางการแพทย์ที่สัมผัสผู้ป่วยวัณโรคบ่อยๆ

ผู้ติดยาเสพติด


อาการของวัณโรคปอด

อาการของวัณโรคปอดมักจะค่อยๆ เกิดขึ้นและแย่ลงอย่างช้าๆ ทำให้บางครั้งผู้ป่วยอาจไม่ทันสังเกตในระยะแรก อาการที่พบบ่อยและควรสังเกต ได้แก่:

ไอเรื้อรัง: ไอติดต่อกันนานกว่า 2 สัปดาห์ อาจมีหรือไม่มีเสมหะ

มีเสมหะปนเลือด: ไอเป็นเลือดสดๆ หรือมีเลือดปนในเสมหะ

ไข้ต่ำๆ: โดยเฉพาะช่วงบ่ายหรือเย็น

อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย

เบื่ออาหาร น้ำหนักลดผิดปกติ

เหงื่อออกมากผิดปกติในเวลากลางคืน

เจ็บหน้าอก หรือหายใจลำบาก (ในกรณีที่อาการรุนแรง)

หากมีอาการไอเรื้อรังเกิน 2 สัปดาห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย


การวินิจฉัยวัณโรคปอด

การซักประวัติและตรวจร่างกาย: แพทย์จะซักประวัติอาการ ปัจจัยเสี่ยง และตรวจร่างกาย

การตรวจเสมหะ: เป็นวิธีหลักในการวินิจฉัย โดยนำเสมหะไปย้อมดูเชื้อ (AFB Smear) และ/หรือเพาะเลี้ยงเชื้อ (Culture) ซึ่งเป็นวิธีที่แม่นยำที่สุด

การเอกซเรย์ปอด (Chest X-ray): ใช้ตรวจหาร่องรอยความผิดปกติในปอด เช่น ฝ้าขาว หรือโพรงในปอด

การตรวจพิเศษอื่นๆ: ในบางรายอาจมีการตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจเสมหะด้วยวิธี GeneXpert (วิธีที่รวดเร็วและสามารถบอกการดื้อยาได้) หรือการส่องกล้องหลอดลม


การรักษาวัณโรคปอด

วัณโรคปอดสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการรับประทานยาอย่างต่อเนื่องและครบถ้วนตามแผนการรักษาของแพทย์ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะใช้เวลา อย่างน้อย 6 เดือน โดยมีหลักการสำคัญคือ:

รับประทานยาอย่างสม่ำเสมอและครบถ้วน: ผู้ป่วยจะต้องรับประทานยาหลายชนิดร่วมกันตามที่แพทย์กำหนด ห้ามหยุดยาเอง หรือลดขนาดยาเองเด็ดขาด แม้จะรู้สึกว่าอาการดีขึ้นแล้วก็ตาม เพราะจะทำให้เชื้อดื้อยา และการรักษายากขึ้นมาก

มีการกำกับดูแลการกินยา (DOTS - Directly Observed Treatment, Short-course): ในบางกรณี แพทย์หรือบุคลากรสาธารณสุขอาจให้ผู้ป่วยมารับยาและกินยาต่อหน้า เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยได้รับยาครบถ้วน

ติดตามอาการและผลข้างเคียงของยา: แพทย์จะนัดผู้ป่วยมาตรวจติดตามอาการ และตรวจเลือดเพื่อดูผลข้างเคียงของยาเป็นระยะๆ

ยารักษาวัณโรคหลักๆ: โดยทั่วไปจะใช้ยาหลายชนิดร่วมกันในช่วง 2 เดือนแรก และลดจำนวนยาลงในช่วง 4 เดือนหลัง เช่น Isoniazid (INH), Rifampicin (RMP), Pyrazinamide (PZA), Ethambutol (EMB)

หากผู้ป่วยขาดยา หรือหยุดยาเองก่อนกำหนด อาจทำให้เชื้อดื้อยา ซึ่งจะทำให้การรักษายุ่งยากขึ้น ใช้เวลานานขึ้น และอาจต้องใช้ยาที่แพงขึ้นและมีผลข้างเคียงมากขึ้น


การป้องกันวัณโรคปอด

ฉีดวัคซีน BCG: ให้กับทารกแรกเกิดทุกคน เพื่อป้องกันวัณโรคชนิดรุนแรงในเด็ก (เช่น วัณโรคเยื่อหุ้มสมอง)

หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรคที่ยังไม่ได้รับการรักษา: หากจำเป็นต้องสัมผัส ให้สวมหน้ากากอนามัย และรักษาสุขอนามัย

ตรวจสุขภาพเป็นประจำ: โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงสูง

พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย

ปรับปรุงสภาพแวดล้อม: ให้บ้านหรือที่อยู่อาศัยมีอากาศถ่ายเทสะดวก ไม่แออัด

วัณโรคปอดเป็นโรคที่น่ากลัวหากปล่อยทิ้งไว้ แต่หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้องอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ก็สามารถหายขาดได้ครับ