แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 29
1
จัดฟันบางนา: จัดฟันแบบเร่งด่วน ใช้เวลาสั้นที่สุด สามารถทำได้หรือไม่ ?

เชื่อว่าหลายๆท่านคงทราบกันดีอยู่แล้วถึงระยะเวลาในการจัดฟัน ว่าต้องใช้ระยะเวลาที่นานพอสมควร บางท่านอาจจะไม่สามารถทำการจัดฟันได้เนื่องจากว่าไม่มีเวลามากพอที่จะมาทำการจัดฟันตามขั้นตอนของทันตแพทย์ หรือผู้ที่ทำการจัดฟันไปแล้วมักจะมีคำถามแรกคล้ายๆกันนั่นก็คือ เมื่อไหร่จะเสร็จสิ้นการจัดฟัน ? เมื่อไหร่ฟันจะเข้าที่ ? ต้องจัดฟันไปอีกนานหรือไม่ ? ต้องขอบอกเลยว่าเป็นคำถามยอดนิยมมากๆ ที่ทันตแพทย์จะได้ยินจากผู้ป่วยที่เข้าทำการรักษา ซึ่งแท้จริงแล้วทุกอย่างมีขั้นมีตอน

ในวันนี้จะขอมาตอบคำถามเพื่อให้ทุกท่านได้ทราบและเข้าใจอย่างละเอียดเกี่ยวกับการจัดฟัน รวมถึงการจัดฟันแบบเร่งด่วนมีหรือไม่ ต้องทำอย่างไรฟันจึงจะเข้าที่อย่างรวดเร็ว โดยมีรายละเอียดที่อยากให้ทราบดังต่อไปนี้


ระยะเวลาในการจัดฟัน ?

ต้องขอบอกเลยว่าศาสตร์การจัดฟันนั้นมีอายุมาอย่างยาวนานกว่า 100 ปี ซึ่งทำให้มีการเก็บข้อมูลทำการวิจัยมาอย่างยาวนานมากๆ หนึ่งในนั้นก็คือ ระยะเวลาที่แน่นอนของการจัดฟัน จนสรุปได้อย่างคร่าวๆว่า ต้องใช้ระยะเวลาการจัดฟันอยู่ที่ 2 – 3 ปี โดยประมาณ ซึ่งไม่ใช่ว่าทุกท่านที่จัดฟันจะต้องใช้ระยะเวลาเท่านี้เสมอไป บางท่านอาจจะต้องใช้เวลานานถึง 5 ปี ก็มี หรือบางท่านอาจจะใช้เวลาแค่ 2 ปี ก็เรียบร้อยแล้ว

ซึ่งเรื่องของระยะเวลาในการจัดฟันนี้ก็จะขึ้นอยู่กับปัญหาฟันที่ทำการจัด อายุ ระดับการตอบสนองของร่างกาย ซึ่งแต่ละคนก็มีสิ่งเหล่านี้ไม่เท่ากัน แต่ความร่วมมือของผู้ทำการจัดฟันที่ให้กับทันตแพทย์ก็ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ท่านจัดฟันได้รวมเร็วและมีประสิทธิภาพดีที่สุด


ระยะเวลาในการจัดฟัน ขึ้นอยู่กับทันตแพทย์ด้วย ?

ต้องขอบอกเลยว่า ทันตแพทย์ผู้ทำการรักษาก็ถือว่ามีผลต่อระยะเวลาในการจัดฟันเช่นกัน เนื่องจากว่าทันตแพทย์แต่ละท่านมีประสบการณ์ต่างกัน เรียนมาไม่เหมือนกัน มุมมองต่างกัน และเทคนิควิธีที่นำมาใช้ก็มีความต่างกัน และที่สำคัญมากๆอีกอย่างก็คือ ความละเอียดในการรักษาของทันตแพทย์แต่ละท่านไม่เท่ากัน เช่น ทันตแพทย์บางท่านงานต้องออกมาสมบูรณ์แบบ เลยมีความละเอียดมาก จึงต้องใช้ระยะเวลาในการรักษาที่มากตามไปด้วย


วิธีการเร่งจัดฟันมีหรือไม่ ?

ต้องขอบอกตรงนี้เลยว่ามีและไม่มี ซึ่งการจัดฟันแบบเร่งด่วนถือว่าเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญมากๆสำหรับทันตกรรมระดับโลกที่กำลังศึกษากันอยู่ และยังไม่สามารถทำออกมาเป็นชิ้นเป็นอันได้ชัดเจน เพราะหากว่าใครสามารถคิดค้น วิธีจัดฟันเพียง 3 เดือนได้ จะกลายเป็นข่าวใหญ่ระดับโลกแน่นอน

แต่ที่ผ่านมาก็ได้มีการวิจัยและประดิษฐ์คิดค้น วิธีการเร่งการจัดฟันออกมาเยอะแยะมากมาย ยกตัวอย่างเช่น แบร็กเก็ตพิเศษ แบร็กเก็ตแบบไม่มัดยาง รวมถึงแบร็กเก็ตรูปทรงต่างๆ มากมาย แถมยังมีเครื่องมือกระตุ้นกระดูกรอบๆฟัน จุดหมายเพื่อให้ฟันเคลื่อนที่เข้ารูปได้รวดเร็วขึ้นกว่าปกติที่ใช้กันอยู่ ซึ่งเครื่องมือต่างๆ เหล่านี้ได้มีการผลิตใช้จริงตั้งแต่ในสมัยอีกรวมถึงปัจจุบัน ซึ่งมีมากมายหลายยี่ห้อ หลายบริษัท

แต่อุปกรณ์ต่างๆเหล่านี้ยังไม่มีการรองรับอย่างเป็นทางการด้านวิทยาศาสตร์ ว่าสามารถใช้ได้จริงหรือไม่

แต่ที่แน่ๆอุปกรณ์เหล่านี้ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายเป็นวงกว้างในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งที่ยังไม่ได้มีการยืนยันแน่นอนว่าช่วยทำให้การจัดฟันรวมเร็วขึ้น

แต่สิ่งที่ทั้งโลกให้การยอมรับว่าการจัดฟันนั้นจะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ การวินิจฉัยและวางแผนที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วย  รวมถึงความร่วมมือของผู้ที่ทำการจัดฟันมากน้อยเพียงใด หากทำตามคำแนะนำของทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด โอกาสผิดพลาดก็จะลดน้อยลง เพราะทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนที่ทันตแพทย์ต้องวางเอาไว้

ส่วนอุปกรณ์เสริมพิเศษเหล่านั้น แท้ที่จริงแล้วฟันของเราไม่เคยเลือกอุปกรณ์ แต่ผู้ที่นำอุปกรณ์มาใช้ต่างหากที่ต้องมีความสามารถและชำนาญ

สรุปสั้นๆกับคำถามที่หลายๆท่านอยากทราบในการจัดฟันแบบเร่งด่วนมีจริงไหม คำตอบง่ายๆก็คือ มีจริง แต่ไม่ใช่เร็วแบบเดือนหรือสองเดือน ผลสุดท้ายทั้งหมดก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวท่านเองเป็นสำคัญ

2
motor show 2025: New Toyota Corolla Altis ปรับปรุงใหม่ นำโดย HEV GR Sport สปอร์ตเร้าใจยิ่งขึ้นด้วยการตกแต่งสไตล์ TOYOTA GAZOO Racing

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แนะนำ NEW COROLLA ALTIS ออกแบบใหม่ในรุ่น HEV GR SPORT สปอร์ตเร้าใจยิ่งขึ้น ด้วยดีไซน์ทั้งภายนอก และภายในที่ตกแต่งสไตล์ TOYOTA GAZOO Racing โดดเด่นด้วยสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม มั่นใจได้ในขุมพลังไฮบริด แบตเตอรี่ไฮบริดใหม่ แบบ Lithium-ion ตอกย้ำแนวคิด TOYOTA TRUSTED HEV ประหยัดน้ำมัน ศูนย์บริการและช่างผู้เชี่ยวชาญที่ครอบคลุมทั่วประเทศ รวมถึงแนะนำทางเลือกสีภายนอกใหม่ในทุกรุ่นย่อย พร้อมส่งมอบความคุ้มค่าคุ้มราคาให้กับลูกค้า ตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 นี้ เป็นต้นไป

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ส่ง NEW COROLLA ALTIS รถยนต์นั่งยอดนิยมของคนไทย ที่มาพร้อมความคุ้มค่า และโดดเด่นด้าน QDR ได้แก่ Quality คุณภาพ, Durability ความทนทาน และ Reliability ความน่าเชื่อถือ ด้านสมรรถนะการขับขี่ เหนือกว่าด้วย Toyota New Global Architecture หรือ TNGA ทนทานต่อแรงบิดได้เป็นอย่างดี แข็งแกร่ง และมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ตอบสนองแม่นยำ ทำให้มีการทรงตัวที่ยอดเยี่ยม สามารถควบคุมรถได้ดั่งใจ และมอบทัศนวิสัยดีเยี่ยม โดย NEW COROLLA ALTIS ยังคงโดดเด่นด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครัน สามารถตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ด้วยเทคโนโลยีเชื่อมต่อล้ำสมัยอย่างแอปพลิเคชัน T-CONNECT และมั่นใจได้สูงสุดด้วยมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก

NEW COROLLA ALTIS นำโดยรุ่น HEV GR SPORT ที่ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านรถยนต์ไฮบริดที่สร้างชื่อเสียงและความไว้วางใจในประเทศไทยกับเทคโนโลยีไฮบริดของโตโยต้า ด้วยแนวคิด "TOYOTA TRUSTED HEV" ที่ผสานระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์อย่างลงตัว ประหยัดยิ่งกว่าเคยด้วยอัตราการใช้น้ำมัน 23.8 กิโลเมตร/ลิตร (อ้างอิงจาก Eco Sticker) ออกแบบสะท้อนจิตวิญญาณมอเตอร์สปอร์ต ภายนอกดีไซน์สไตล์ GR ทั้งกระจังหน้า, สปอยเลอร์หลังสีดำเงา, ล้ออัลลอยสีดำขนาด 17 นิ้ว, ไฟท้าย Full LED แบบ Clear Lens มาพร้อมทางเลือกสีภายนอกใหม่ Platinum White Pearl with Black Roof และ Red Mica Metallic with Black Roof ภายในตกแต่งพิเศษ มอบอารมณ์สปอร์ต ด้วยการตกแต่งด้ายสีแดงบริเวณเบาะนั่ง และมีการตกแต่งสัญลักษณ์ GR ตามจุดต่างๆ รวมทั้งมีการปรับจูนเพื่อให้ตัวรถมีสมรรถนะการขับขี่ที่เร้าใจยิ่งขึ้น ทั้งพวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า, Shock Absorber, Coil Spring และ Rear Stabilizer Bar โดย NEW COROLLA ALTIS อีก 3 รุ่นย่อย ยังมาพร้อมกับสีภายนอกใหม่ คือสีเทา Cement Gray Metallic

  HEV GR SPORT

เร้าใจสไตล์ GAZOO Racing ทั้งดีไซน์ และสมรรถนะด้วย NEW COROLLA ALTIS รุ่น HEV GR SPORT เครื่องยนต์ไฮบริด 1.8 ลิตร ที่สะท้อนจิตวิญญาณมอเตอร์สปอร์ต ด้วยดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของ GR ผสานความสปอร์ตกับเทคโนโลยีที่ทันสมัย

ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ไฮบริดขนาด 1.8 ลิตร แบตเตอรี่ไฮบริดแบบ Lithium-ion พร้อมการปรับแต่งสมรรถนะสำหรับรุ่นนี้โดยเฉพาะ ทั้งพวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้าและพาร์ทช่วงล่าง พร้อมทางเลือกสีภายนอกใหม่ 2 สี

การออกแบบใหม่ เฉพาะรุ่น GR SPORT จะมี กันชนหน้าและกระจังหน้าสีดำเงา ใหม่, หลังคาสีดำเงา ใหม่, สปอยเลอร์หลังสีดำเงา ใหม่, ล้ออัลลอยสีดำขนาด 17 นิ้ว ใหม่ และ ไฟท้าย Full LED แบบ Clear Lens ใหม่

ภายในมีการเพิ่มความสปอร์ตในหลาย ๆ จุด อาทิ เบาะนั่งคู่หน้าทรงสปอร์ต หนัง Suede แบบเจาะรูและหนังสังเคราะห์ เดินด้ายสีแดง พร้อมสัญลักษณ์ GR ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง และ Lumbar Support แบบไฟฟ้า ใหม่, เข็มขัดนิรภัยสีแดงสไตล์ GR SPORT ใหม่

ภายในเดินด้ายสีแดง ตกแต่งสีแดงและสีเงิน Smoked Silver ใหม่, พวงมาลัยตกแต่งสัญลักษณ์ GR ใหม่, ปุ่ม Push Start และ Smart Key ตกแต่งสัญลักษณ์ GR

สมรรถนะโดดเด่น มั่นใจ ปรับแต่งพิเศษ เฉพาะรุ่น GR SPORT ด้วย Electric Power Steering พวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า ปรับแต่งเฉพาะรุ่น GR SPORT ใหม่, Shock Absorber ดูดซับแรงสั่นสะเทือนให้การขับขี่มั่นใจได้มากยิ่งขึ้น, Coil Spring คอยล์สปริงปรับแต่งโดยเฉพาะเพื่อการขับขี่ที่มั่นคงและนุ่มนวลและRear Stabilizer Bar ลดอาการโคลงขณะเข้าโค้ง ยึดเกาะถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมาพร้อม แบตเตอรี่แบบ Lithium-ion ใหม่, สัญลักษณ์ TOYOTA HEV ใหม่

นอกจากนี้ HEV GR SPORT ยังมี ไฟหน้า LED โปรเจคเตอร์ พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED Light Guiding, จอแสดงผลข้อมูลผู้ขับขี่ TFT ขนาด 12.3 นิ้ว, หน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay  และ  Android Auto แบบไร้สาย, หน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบสีบนกระจกหน้ารถ HUD (Head Up Display), อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย

ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ แบบปรับอุณหภูมิแยกอิสระซ้าย-ขวา, nanoeX ระบบกรองอากาศภายในห้องโดยสารช่วยขจัดกลิ่นและยับยั้งเชื้อโรค,
Smart Entry ระบบเปิดประตูอัจฉริยะ สำหรับผู้ขับ ผู้โดยสารตอนหน้า และห้องเก็บสัมภาระท้ายรถ, เทคโนโลยีความปลอดภัย Toyota Safety Sense และระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง BSM (Blind Spot Monitor)

HEV PREMIUM & 1.8 Sport

NEW COROLLA ALTIS รุ่น HEV PREMIUM มั่นใจสูงสุด ด้วยเครื่องยนต์ไฮบริด 1.8 ลิตรจากโตโยต้า ประหยัดน้ำมันดีเยี่ยม ด้วยอัตราการใช้น้ำมัน 23.8 กม./ลิตร (อ้างอิงจาก Eco Sticker) ระบบส่งกำลังอัตโนมัติ E-CVT

ทำงานร่วมกับช่วงล่าง TNGA จุดศูนย์ถ่วงต่ำ ทรงตัวและเข้าโค้งได้ดียิ่งขึ้น ช่วงล่างหลังอิสระแบบ Double Wishbone ให้ความนุ่มนวลในการขับขี่ เกาะถนนดีเยี่ยม นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวกแบบจัดเต็ม และระบบความปลอดภัยระดับโลก Toyota Safety Sense พร้อมสีภายนอกใหม่ สีเทา Cement Gray Metallic ใหม่ แบตเตอรี่แบบ Lithium-ion ใหม่, สัญลักษณ์ TOYOTA HEV ใหม่

อีกทางเลือกในการขับขี่ด้วย 1.8 Sport กับเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.8 ลิตร ให้กำลังส่งสูงถึง 140  แรงม้า ระบบส่งกำลังอัตโนมัติ Super CVT-i 7 สปีด พร้อม Sequential Shift ทำงานร่วมกับช่วงล่าง TNGA ที่มาพร้อมกับจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ช่วงล่างหลังอิสระแบบ Double Wishbone ตอบสนองได้อย่างแม่นยำ ควบคุมง่าย ระบบความปลอดภัยระดับโลก Toyota Safety Sense และตัวเลือกสีภายนอกใหม่ สีเทา Cement Gray Metallic

ภายนอกของ  HEV PREMIUM มากับกระจังหน้าดีไซน์ Polygon, ไฟหน้า LED โปรเจคเตอร์ พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED Light Guidingและไฟตัดหมอกหน้า LED พร้อมคิ้วโครเมียม, ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ส่วน 1.8 Sport จะเป็นกระจังหน้าดีไซน์ Polygon และไฟตัดหมอกหน้า LED พร้อมคิ้วโครเมียม โดยทั้งคู่จะได้ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว

1.8 Sport

ส่วนภายในของทั้ง 2 รุ่นมีความแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ก็จะได้หน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย, ระบบควบคุมและปรับความเร็วอัตโนมัติ ได้ถึง 0 กม./ชม. (All Speed Dynamic Radar Cruise Control), ระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ และระบบเบรกมือไฟฟ้า

ช่องต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า USB ด้านหน้า 2 ตำแหน่ง ในกล่องเก็บของคอนโซลกลาง 1 ตำแหน่งและด้านหลัง 2 ตำแหน่ง, เบาะหนังแท้และหนังสังเคราะห์, เบาะนั่งด้านคนขับ ปรับไฟฟ้า  8 ทิศทาง พร้อม Lumbar Support แบบไฟฟ้า, เบาะนั่งด้านหลังแบบแยกพับได้ 60:40 พร้อมที่วางแขน และที่วางแก้วน้ำ, Smart Entry ระบบเปิดประตูอัจฉริยะ สำหรับผู้ขับ ผู้โดยสารตอนหน้า และห้องเก็บสัมภาระตอนท้าย, เทคโนโลยีความปลอดภัย Toyota Safety Sense และระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง BSM (Blind Spot Monitor)

 1.6G

NEW COROLLA ALTIS รุ่น 1.6G คุ้มค่า สเปกครบครัน ประหยัดน้ำมันด้วย เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.6 ลิตร หน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย เบาะนั่ง สะดวกสบาย กว้างขวาง เพิ่มความยืดหยุ่นของพื้นที่เก็บสัมภาระด้วยเบาะนั่งด้านหลังพับได้แบบ 60:40 พร้อมที่วางแขน และที่วางแก้วน้ำ และระบบปรับอากาศอัตโนมัติ พร้อมช่องปรับอากาศตอนหลัง ทั้งยังปลอดภัยยิ่งขึ้น ด้วยสัญญาณเตือนกะระยะ และจอมองภาพขณะถอยหลัง มาพร้อมตัวเลือกสีภายนอกใหม่สีเทา Cement Gray Metallic

และสเปกที่คุ้มค่า เป็นเจ้าของได้ในราคาที่เข้าถึงง่าย ภายนอกมากับกระจังหน้าสีดำสไตล์สปอร์ต, ล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว ส่วนภายในมากับหน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย, ช่องต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า USB ด้านหน้า 2 ตำแหน่ง ในกล่องเก็บของคอนโซลกลาง 1 ตำแหน่งและด้านหลัง 2 ตำแหน่ง, ช่องปรับอากาศสำหรับที่นั่งด้านหลัง

กับเบาะนั่งด้านหลังแบบแยกพับได้ 60:40, กล้องมองภาพขณะถอยหลัง และสัญญาณเตือนกะระยะท้ายรถ และ  Smart Entry ระบบเปิดประตูอัจฉริยะ สำหรับผู้ขับ ผู้โดยสารตอนหน้า และห้องเก็บสัมภาระตอนท้าย

เลือกเป็นเจ้าของ NEW COROLLA ALTIS
รุ่น HEV GR SPORT ราคา 1,129,000 บาท
รุ่น HEV PREMIUM ราคา 1,009,000 บาท
รุ่น 1.8 SPORT ราคา 979,000 บาท
รุ่น 1.6G ราคา 894,000 บาท
สำหรับสีภายนอกพิเศษ เฉพาะรุ่น HEV GR SPORT จะมี 3 สีให้เลือก ได้แก่ สีขาว Platinum White Pearl with Black Roof ใหม่ (ราคาเพิ่ม 15,000 บาท), สีแดง Red Mica Metallic with Black Roof ใหม่ (ราคาเพิ่ม 10,000 บาท) และ สีดำ Attitude Black Mica ส่วนสีภายนอก รุ่น HEV PREMIUM, 1.8 SPORT และ 1.6G จะมี 5 สีให้เลือกได้แก่ สีเทา Cement Gray Metallic ใหม่ (ราคาเพิ่ม 10,000 บาท), สีขาวมุก Platinum White Pearl (ราคาเพิ่ม 10,000 บาท), สีเงิน Metal Stream Metallic, สีเทา Celestite Gray Metallic และ สีดำ Attitude Black Mica

พิเศษสุด ตัดสินใจเป็นเจ้าของ NEW COROLLA ALTIS ทั้ง 4 รุ่น ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 รับข้อเสนอสุดพิเศษ ดอกเบี้ย 1.65% (คำนวณที่ดาวน์ 25% ขึ้นไป นาน 48 เดือน สำหรับผู้ซื้อ ที่ผ่านการอนุมัติโตโยต้าลีสซิ่ง) และฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง PHYD*
สำหรับเครื่องยนต์ไฮบริด ขยายระยะเวลารับรองการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี พร้อม รับประกันระบบไฮบริด 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง (รุ่น HEV GR SPORT และรุ่น HEV PREMIUM)
รับข้อเสนอพิเศษขยายระยะเวลาการคุ้มครอง (มูลค่า 30,000 บาท) ขยายระยะรับประกันสูงสุด 5 ปี หรือ 150,000 กม. เมื่อเข้าเช็กระยะตามกำหนด จาก TCFR Plus+

3
ขนาดของผ้ากันไฟที่เหมาะสมในโรงงานขนาดใหญ่

ในโรงงานขนาดใหญ่ การเลือกขนาดของผ้ากันไฟจะซับซ้อนกว่าในครัวเรือนหรือโรงงานขนาดเล็กมากครับ เพราะมีความหลากหลายของกระบวนการผลิต, ประเภทของเครื่องจักร, และลักษณะของอันตรายจากไฟที่แตกต่างกันไป การจะบอก "ขนาดมาตรฐาน" ที่ตายตัวจึงเป็นไปไม่ได้ แต่หลักการคือ ต้องเลือกขนาดที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์เฉพาะของแต่ละจุดติดตั้ง และ ต้องสามารถรับมือกับอันตรายที่ใหญ่ที่สุดที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ณ จุดนั้นได้

หลักการพิจารณาขนาดผ้ากันไฟในโรงงานขนาดใหญ่

การประเมินความเสี่ยงและวัตถุประสงค์เฉพาะจุด:

จุดที่ 1 (เช่น พื้นที่เชื่อมโลหะ): อันตรายคือประกายไฟและสะเก็ดไฟที่กระเด็นออกไปในรัศมี 5-10 เมตร
จุดที่ 2 (เช่น ใกล้ท่อความร้อนสูง): อันตรายคือความร้อนแผ่รังสีและการสัมผัสโดยตรง
จุดที่ 3 (เช่น ห้องครัวขนาดใหญ่/โรงอาหาร): อันตรายคือไฟจากน้ำมัน/ไขมัน
จุดที่ 4 (เช่น ใกล้ตู้ควบคุมไฟฟ้าขนาดใหญ่): อันตรายคือไฟจากไฟฟ้าที่อาจลุกลาม
ประเภทของผ้ากันไฟและวิธีการใช้งาน:

ผ้าห่มกันไฟ (Fire Blanket) สำหรับดับเพลิงเบื้องต้น:

ขนาด: มักจะเป็นขนาดที่ใหญ่กว่าครัวเรือนทั่วไป เช่น 1.5 x 1.5 เมตร หรือ 1.8 x 1.8 เมตร (5x5 ฟุต หรือ 6x6 ฟุต) เพื่อให้ครอบคลุมแหล่งกำเนิดไฟขนาดใหญ่ขึ้น หรือห่มตัวพนักงานผู้ใหญ่ได้อย่างมิดชิด
ตำแหน่ง: ติดตั้งในจุดที่เห็นได้ชัดเจนและเข้าถึงง่าย เช่น ใกล้ตู้ควบคุมไฟฟ้า, บริเวณเตาในโรงอาหาร, หรือบริเวณที่มีถังสารเคมีไวไฟขนาดเล็ก

ผ้ากันสะเก็ดไฟ/ผ้าม่านกันไฟ (Welding Blanket / Curtain) สำหรับงานเชื่อม/เจียร หรือกั้นพื้นที่:

ขนาด:
สำหรับการคลุมวัตถุ/เครื่องจักร: ต้อง วัดขนาดของวัตถุนั้นๆ แล้วเผื่อด้านข้างออกไปอย่างน้อย 30-50 เซนติเมตร (1-1.5 ฟุต) ในทุกด้าน เพื่อให้มั่นใจว่าครอบคลุมพื้นที่ที่สะเก็ดไฟหรือความร้อนอาจไปถึงได้
สำหรับการกั้นพื้นที่/ทำเป็นม่าน: ต้อง วัดความกว้างและความสูงของพื้นที่ทั้งหมด ที่ต้องการกั้น อาจเป็นผืนใหญ่มากๆ หรือหลายผืนต่อกัน โดยต้องมีการ ซ้อนทับ (Overlap) กันอย่างน้อย 15-30 เซนติเมตร (ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของงาน) เพื่อป้องกันช่องว่าง
ขนาดที่พบเห็นบ่อย: ในโรงงาน มักจะสั่งซื้อเป็นม้วนใหญ่ (เช่น กว้าง 1.5 หรือ 2 เมตร ยาว 50 เมตร) เพื่อนำมาตัดเย็บหรือใช้งานตามขนาดที่ต้องการ หรือสั่งผลิตเป็นผืนสำเร็จรูปขนาดใหญ่พิเศษ เช่น 2 x 3 เมตร, 3 x 4 เมตร, หรือ 5 x 5 เมตร สำหรับงานเฉพาะทาง
ความหนา: ยิ่งงานหนัก อุณหภูมิสูง หรือมีสะเก็ดไฟรุนแรง ควรเลือกผ้าที่หนาขึ้น (เช่น 0.8 มม. - 1.5 มม. หรือมากกว่า) และทนความร้อนสูงขึ้น


ผ้าหุ้มฉนวนกันความร้อนแบบถอดได้ (Removable Insulation Jacket):

ขนาด: เป็นการ สั่งตัดเฉพาะ (Custom-Made) ตามรูปทรงและขนาดของท่อ, วาล์ว, หรืออุปกรณ์ที่มีความร้อนสูงในโรงงาน เพื่อให้หุ้มได้อย่างแนบสนิทและมีประสิทธิภาพสูงสุด
ตัวอย่างการเลือกขนาดในโรงงานขนาดใหญ่
งานเชื่อมโลหะขนาดใหญ่: หากมีการเชื่อมโครงสร้างเหล็กขนาดใหญ่ในพื้นที่เปิด ซึ่งสะเก็ดไฟอาจกระเด็นไปได้ไกล 5 เมตรจากจุดเชื่อมหลัก อาจจำเป็นต้องใช้ม่านกันไฟขนาดใหญ่ เช่น 4 x 6 เมตร หรือหลายผืนมาประกอบกัน โดยแต่ละผืนมีการซ้อนทับกันอย่างน้อย 20 เซนติเมตร
ป้องกันเครื่องจักรที่ผลิตความร้อนสูง: หากมีเครื่องจักรที่มีพื้นผิวร้อนแผ่รังสีความร้อนออกมา และมีวัตถุไวไฟอยู่ใกล้เคียง อาจต้องใช้ผ้ากันไฟที่ตัดมาคลุมตัวเครื่องจักร หรือทำเป็นฉากกั้นรอบๆ ขนาดจะขึ้นอยู่กับขนาดของเครื่องจักรนั้นๆ
จุดจัดเก็บสารไวไฟ: อาจติดตั้งผ้าห่มกันไฟขนาด 1.8 x 1.8 เมตร ไว้ใกล้กับถังบรรจุสารไวไฟเพื่อเป็นอุปกรณ์ดับเพลิงเบื้องต้น

ข้อสรุป
ในโรงงานขนาดใหญ่ การเลือกขนาดผ้ากันไฟอย่างเหมาะสมนั้น ต้องอาศัยการประเมินความเสี่ยงและลักษณะงานในแต่ละพื้นที่อย่างละเอียดถี่ถ้วน ไม่มีขนาด "มาตรฐาน" ใดที่จะเหมาะกับทุกสถานการณ์ การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยและผู้จำหน่ายผ้ากันไฟที่มีประสบการณ์ จะช่วยให้คุณเลือกประเภทและขนาดผ้าที่ถูกต้อง แม่นยำ และมีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับโรงงานของคุณครับ

4
Doctor At Home: ภาวะหลอดเลือดดำส่วนลึกมีลิ่มเลือด (Deep vein thrombosis/DVT)

หลอดเลือดดำบริเวณแขนขา บางครั้งอาจเกิดลิ่มเลือด (blood clot หรือ thrombus) ขึ้นภายในหลอดเลือด ซึ่งอาจเกิดได้ทั้งในหลอดเลือดดำส่วนผิว* และส่วนลึก

ที่สำคัญคือ การมีลิ่มเลือดเกิดขึ้นที่หลอดเลือดดำส่วนที่อยู่ลึกในกล้ามเนื้อ (ส่วนใหญ่เกิดที่บริเวณขา ส่วนน้อยอาจเกิดที่บริเวณแขน) เรียกว่า ภาวะหลอดเลือดดำส่วนลึกมีลิ่มเลือด ซึ่งอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงเนื่องจากลิ่มเลือดดังกล่าวหลุดลอยเข้าไปในปอด

ภาวะนี้มักพบในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เลือดแข็งตัวง่ายหรือไหลเวียนช้า ดังนั้นจึงพบบ่อยในผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด อ้วน สูบบุหรี่ กินยาเม็ดคุมกำเนิด หรือไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายอยู่นาน ๆ หญิงตั้งครรภ์หรือหลังคลอดบุตรใหม่ ๆ

โรคนี้พบได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่ส่วนใหญ่จะพบมากในคนวัยกลางคนและผู้สูงอายุ และมักเกิดกับผู้ที่เข้าพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล หรือได้รับการผ่าตัด

บางรายอาจเกิดภาวะนี้โดยไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน

*การเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำบริเวณผิว มักจะทำให้เกิดการอักเสบของหลอดเลือดร่วมด้วย เรียกว่า หลอดเลือดดำส่วนผิวอักเสบมีลิ่มเลือด (superficial thrombophlebitis) ภาวะนี้มีอันตรายน้อย และมักหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ เนื่องจากเป็นลิ่มเลือดขนาดเล็ก และไม่หลุดลอยไปที่อื่น อาการที่พบ คือ หลอดเลือดดำที่มีลิ่มเลือดจะมีลักษณะคลำได้เป็นเส้นแข็ง ออกแดง ร้อน และเจ็บ ให้การรักษาตามอาการ ได้แก่ ให้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ประคบด้วยน้ำอุ่นจัด ๆ สวมใส่ถุงเท้าชนิดยืด หรือพันด้วยผ้าพันแผลชนิดยืด ยกเท้าสูงเวลานอนหรือนั่ง


สาเหตุ

ภาวะหลอดเลือดดำส่วนลึกมีลิ่มเลือดที่บริเวณขา อาจมีสาเหตุหรือมีปัจจัยเสี่ยง เช่น

    การไม่ได้ลุกขึ้นเดินเป็นเวลานานเกิน 3 ชั่วโมงขึ้นไป เช่น นั่งรถหรือเครื่องบินระยะทางไกล
    การนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงนาน ๆ เช่น ผู้ป่วยหลังผ่าตัด กระดูกหัก หรือเป็นโรคหัวใจ
    ผู้ป่วยที่รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพก ผู้ป่วยแขนขาเป็นอัมพาต หัวใจวาย หรือ โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง
    ผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งบางชนิดที่ทำให้เลือดแข็งตัวได้ง่าย (เช่น มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งตับอ่อน มะเร็งรังไข่) หรือมีการใช้ยาเคมีบำบัด เช่น darbepoetin, epoetin, tamoxifen เป็นต้น
    ผู้หญิงที่กินยาเม็ดคุมกำเนิด หรือฮอร์โมนทดแทนสำหรับหญิงวัยหมดประจำเดือน ซึ่งทำให้เลือดแข็งตัวง่าย
    หญิงตั้งครรภ์หรือหลังคลอดใหม่ ๆ (ไม่เกิน 6 สัปดาห์) ซึ่งจะทำให้มีแรงดันสูงในหลอดเลือดดำที่บริเวณเชิงกรานและขา
    ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีภาวะขาดน้ำหรือสูบบุหรี่
    ผู้ที่รูปร่างอ้วน
    การมีภาวะบาดเจ็บต่อหลอดเลือดดำ เช่น การผ่าตัดหลอดเลือด หรือฉีดสารระคายเคืองเข้าหลอดเลือด
    การมีความผิดปกติที่ทำให้เลือดจับเป็นลิ่มง่าย
    มีประวัติว่าพ่อแม่พี่น้องมีภาวะหลอดเลือดดำส่วนลึกมีลิ่มเลือด หรือภาวะสิ่งหลุดอุดตันหลอดเลือดแดงปอด

ภาวะหลอดเลือดดำส่วนลึกมีลิ่มเลือดที่บริเวณแขน อาจมีสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยง เช่น

    ที่พบได้บ่อย คือ เกิดจากการทำหัตถการที่กระทบต่อหลอดเลือดดำที่บริเวณแขน เช่น การใส่สายสวนหลอดเลือดดำส่วนกลาง (central venous catheter), การใส่ตัวคุมจังหวะหัวใจ (cardiac pacemaker) เป็นต้น
    การบาดเจ็บ เช่น กระดูกไหปลาร้าหรือกระดูกต้นแขนหัก กล้ามเนื้อบริเวณต้นแขนได้รับบาดเจ็บ เป็นต้น
    การเล่นกีฬาที่ออกแรงมาก ๆ (เช่น ว่ายน้ำ เล่นเทนนิส ยกน้ำหนัก มวยปล้ำ พายเรือ) ทำให้หลอดเลือดดำที่คอและไหล่ตีบ กระตุ้นให้เกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำได้ มักพบในนักกีฬาอายุน้อย ซึ่งอาจเกิดขึ้นกับผู้ที่มีภาวะ Paget-Schroetter syndrome (PSS) หรือนักกีฬาที่แข็งแรงดีก็ได้
    นอกจากนี้ยังอาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยแบบเดียวกับภาวะหลอดเลือดดำส่วนลึกมีลิ่มเลือดที่บริเวณขา เช่น ผู้ที่เป็นมะเร็งหรือได้รับยาเคมีบำบัด การมีความผิดปกติที่ทำให้เลือดจับเป็นลิ่มง่าย หรือมีประวัติพ่อแม่พี่น้องมีภาวะเลือดจับเป็นลิ่มง่าย การสูบบุหรี่ การไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายอยู่นาน ๆ เป็นต้น

อาการ

ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดหน่วง ๆ ตึง ๆ หรือเจ็บปวดที่ขา (บริเวณน่องหรือต้นขา) หรือที่แขน ส่วนใหญ่เป็นเพียงข้างใดข้างหนึ่ง อาการมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แขนหรือขาข้างที่ปวดมีอาการบวมร่วมด้วย


ภาวะแทรกซ้อน

ที่สำคัญ ได้แก่ ลิ่มเลือดหลุดลอยเข้าสู่หัวใจและไปอุดตันในหลอดเลือดแดงปอด เรียกว่า ภาวะสิ่งหลุดอุดตันหลอดเลือดแดงปอด ซึ่งอาจรุนแรงถึงเสียชีวิตอย่างกะทันหันได้

ผู้ที่มีภาวะหลอดเลือดดำส่วนลึกมีลิ่มเลือดที่บริเวณขา อาจเกิดภาวะเลือดไปเลี้ยงหลอดเลือดดำไม่เพียงพอแบบเรื้อรัง (chronic venous insufficiency) เนื่องจากหลอดเลือดดำขาถูกทำลาย เลือดคั่งอยู่ในหลอดเลือดดำ ไม่อาจไหลกลับเข้าสู่หัวใจได้ตามปกติ ทำให้เกิดอาการปวดเท้า เท้าบวม

นอกจากนี้ ผู้ที่มีภาวะหลอดเลือดดำส่วนลึกมีลิ่มเลือดที่บริเวณขา หากปล่อยไว้นาน ๆ อาจเกิดการทำลายหลอดเลือดดำหรือลิ้นเล็ก ๆ ในหลอดเลือดดำขา (ที่ช่วยป้องกันไม่ให้เลือดไหลกลับลงเท้า) ทำให้เลือดไม่อาจไหลกลับเข้าสู่หัวใจได้ตามปกติ เลือดคั่งอยู่ในหลอดเลือดดำ มีอาการปวดเท้า เท้าบวมเรื้อรัง ผิวหนังบริเวณข้อเท้าด้านในกลายเป็นสีน้ำตาลแดง เป็นแผลง่าย หลอดเลือดขอดที่ขา เรียกว่า "ภาวะเลือดไปเลี้ยงหลอดเลือดดำไม่เพียงพอแบบเรื้อรัง (chronic venous insufficiency)" หรือ "กลุ่มอาการหลังเกิดลิ่มเลือด (post-thrombotic syndrome)"


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย ซึ่งมีสิ่งตรวจพบดังนี้

แขนหรือขาข้างที่ปวด มีลักษณะบวม มีสีแดงหรือคล้ำ กดถูกเจ็บ คลำดูรู้สึกร้อนกว่าปกติ บางรายอาจมีไข้ต่ำ ๆ ชีพจรเต้นเร็ว

การตรวจโดยจับปลายเท้ากระดกขึ้น ทำให้รู้สึกเจ็บน่องมากขึ้น เรียกว่า อาการโฮแมน (Homan’s sign) ซึ่งพบได้ประมาณร้อยละ 50 ของผู้ป่วย

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจพิเศษ เช่น อัลตราซาวนด์ (duplex ultrasonography), ถ่ายภาพรังสีหลอดเลือดดำด้วยการฉีดสารทึบรังสี (venography), ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า/เอกซเรย์คอมพิวเตอร์

ในกรณีที่สงสัยว่าอาจมีภาวะสิ่งหลุดอุดตันหลอดเลือดแดงปอดก็จะทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ เพิ่มเติม


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล โดยให้ผู้ป่วยนอนพักและยกเท้าสูง 6 นิ้ว ให้สารกันเลือดเป็นลิ่ม ได้แก่ เฮพาริน (heparin) ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง แล้วให้กินยาเม็ดวาร์ฟาริน (warfarin) ต่อ ซึ่งอาจต้องกินนาน 3-6 เดือน ยานี้ทำให้เลือดออกได้ง่าย จำเป็นต้องตรวจเลือดดู clotting time แล้วปรับขนาดยาให้เหมาะสม

การรักษาอื่น ๆ ได้แก่ การพันด้วยผ้าพันแผลชนิดยืด หรือการสวมใส่ถุงน่องชนิดยืด (elastic stocking) เพื่อแก้ไขอาการบวมและป้องกันภาวะแทรกซ้อน

ในรายที่มีลิ่มเลือดขนาดใหญ่ อาจต้องฉีดยาละลายลิ่มเลือด (เช่น streptokinase หรือ tPA) เข้าทางหลอดเลือดดำ หรือทำการผ่าตัดเอาลิ่มเลือดออก

กรณีที่ไม่สามารถใช้สารกันเลือดเป็นลิ่ม แพทย์อาจสอดใส่ "ตัวกรอง (filter)" ไว้ในท่อเลือดดำส่วนล่าง (inferior vena cava) เพื่อป้องกันไม่ให้ลิ่มเลือดหลุดลอยเข้าปอด

ผลการรักษา ส่วนใหญ่มักหายเป็นปกติและไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน บางรายอาจมีอาการกำเริบซ้ำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นที่แขน

การใส่ตัวกรองป้องกันสิ่งหลุดเข้าหัวใจกระจายไปที่ปอด


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดหน่วง ๆ ตึง ๆ หรือเจ็บบริเวณขาหรือแขนข้างหนึ่ง หรือมีอาการบวมที่ข้อเท้า เท้า ต้นขา หรือแขนข้างหนึ่ง ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นภาวะหลอดเลือดดำมีลิ่มเลือด ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    ดูแลรักษา กินยา ปฏิบัติตัว และติดตามการรักษาตามที่แพทย์แนะนำ
    ควรระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุหรือบาดแผล
    หลีกเลี่ยงการซื้อยากินเอง เพราะอาจมีผลทำให้เกิดปฏิกิริยากับยาที่แพทย์ใช้รักษาอยู่

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีเลือดออก หรือมีจ้ำเขียวหรือรอยห้อเลือดที่ผิวหนัง
    มีอาการเจ็บหน้าอก หายใจลำบาก ไอเป็นเลือด ใจหวิวใจสั่น หรือลุกนั่งมีอาการหน้ามืดจะเป็นลม
    ขาดยาหรือยาหาย
    มีอาการที่สงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

1.  ถ้าน้ำหนักเกินหรืออ้วน ควรลดน้ำหนัก

2.  ไม่สุบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์จัด

3.  หมั่นออกกำลังกาย

4.  หลีกเลี่ยงการนั่งอยู่กับที่นาน ๆ ควรลุกขึ้นเดินทุก ๆ ชั่วโมง และหลีกเลี่ยงการนั่งไขว่ห้าง

5.  ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 1.5 ลิตร (ประมาณ 6-8 แก้ว) อย่าให้ร่างกายขาดน้ำ

6.  หมั่นตรวจเช็กสุขภาพ และถ้ามีโรคประจำตัว (เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ มะเร็ง) ควรดูแลรักษาอย่างจริงจัง

7.  สำหรับผู้ที่นั่งรถหรือเครื่องบิน ควรป้องกันไม่ให้เกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ โดยการปฏิบัติดังนี้

    ถ้านั่งเครื่องบินหรือรถไฟ ควรลุกขึ้นเดินในห้องโดยสารทุก ๆ ชั่วโมง ถ้านั่งรถ ทุก ๆ ชั่วโมงควรหยุดรถ และเดินไปมารอบรถสักครู่
    ขณะนั่งอยู่กับที่ หมั่นบริหารขาโดยการงอ-เหยียดข้อเท้าขึ้นลงเป็นครั้งคราว คราวละ 10 ครั้ง และควรบริหารขาให้บ่อยขึ้นในกรณีที่ไม่สามารถลุกขึ้นเดินในห้องผู้โดยสารหรือหยุดรถที่ขับได้ทุกชั่วโมง
    หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าหรือเข็มขัดรัดเอว
    ดื่มน้ำมาก ๆ  และหลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะขาดน้ำ

8. ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยอัมพาต คนอ้วน ผู้หญิงที่กินยาเม็ดคุมกำเนิดหรือฮอร์โมนทดแทน ควรมีการออกกำลังกาย หรือเคลื่อนไหวร่างกาย (เช่น เดิน) อยู่บ่อย ๆ ดื่มน้ำมาก ๆ (อย่าให้ร่างกายมีภาวะขาดน้ำ) หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หมั่นบริหารขาโดยการงอ-เหยียดข้อเท้าขึ้นลง

9.  สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เคยมีภาวะหลอดเลือดดำมีลิ่มเลือดมาก่อน มีภาวะเลือดจับเป็นลิ่มง่าย ผู้ที่ต้องรับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพก ผู้ป่วยโรคหัวใจหรืออัมพาต เป็นต้น ถ้าจำเป็นต้องรับการผ่าตัดหรือเข้าพักรักษาตัว (นอนบนเตียง) ในโรงพยาบาลนาน ๆ ให้ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างจริงจัง ในบางกรณีแพทย์อาจพิจารณาให้สารกันเลือดจับเป็นลิ่มป้องกัน

ข้อแนะนำ

1. ผู้ป่วยที่รับสารกันเลือดเป็นลิ่ม อาจมีเลือดออกได้ง่าย ควรระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุหรือบาดแผล และถ้ามีอาการเลือดออก (เช่น จ้ำเขียวหรือรอยห้อเลือดตามผิวหนัง เลือดกำเดาไหลมาก ไอ อาเจียน หรือถ่ายปัสสาวะ/อุจจาระเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระดำ) ควรรีบไปโรงพยาบาล

2. อาการแขนหรือขาบวมข้างหนึ่ง อาจเกิดจากสาเหตุอื่น ที่สำคัญคือ ทางเดินน้ำเหลืองอุดกั้น ซึ่งอาจเกิดจากมะเร็ง ภาวะแทรกซ้อนจากการฉายรังสี การติดเชื้อ (เช่น โรคเท้าช้าง) สาเหตุเหล่านี้มักไม่มีอาการเจ็บปวด อย่างไรก็ตาม เมื่อพบอาการแขนหรือขาบวมข้างหนึ่งก็ควรจะปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

3. โดยปกติ ลิ่มเลือดที่อยู่ในหลอดเลือดดำไม่สามารถหลุดลอยไปอุดตันในหลอดเลือดสมอง (จะเกิดขึ้นได้ต้องเป็นลิ่มเลือดที่อยู่ในหลอดเลือดแดง) อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าในรายที่มีผนังหัวใจรั่วโดยกำเนิด (patent foramen ovale) อยู่ก่อน ลิ่มเลือดอาจหลุดเข้าไปในระบบหลอดเลือดแดง ลอยไปอุดตันหลอดเลือดสมอง ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง (stroke) ได้ ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้น้อยสำหรับภาวะหลอดเลือดดำส่วนลึกมีลิ่มเลือด

5
แนวทางเพื่อสร้างรายได้ เริ่มต้นธุรกิจร้านอาหารไทยขนาดเล็ก คู่มือสำหรับผู้เริ่มต้นสู่ความสำเร็จ

การเปิดร้านอาหารไทยเล็กๆ ถือเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นและคุ้มค่า ด้วยรสชาติที่เข้มข้น การนำเสนอที่สดใสและความนิยมที่เพิ่มมากขึ้นทั่วโลก อาหารไทยจึงเป็นสถานที่พิเศษในใจของคนรักอาหารมากมาย สำหรับผู้เริ่มต้น การเปลี่ยนความหลงใหลในอาหารไทยให้กลายเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จนั้นต้องอาศัยการวางแผน ความคิดสร้างสรรค์และความมุ่งมั่น

การเปิดร้านอาหารไทยเล็กๆเป็นความฝันของหลายคน แต่ก็มีความท้าทายไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับมือใหม่ หากคุณกำลังมองหาแนวทางเพื่อเริ่มต้นธุรกิจนี้ให้ประสบความสำเร็จ นี่คือเคล็ดลับสำคัญที่จะช่วยให้คุณเริ่มต้นและบริหารร้านอาหารไทยเล็กๆ ให้ประสบความสำเร็จได้

1. ทำการวิจัยตลาดของคุณ
ก่อนอื่นเลย ให้ศึกษาตลาดในพื้นที่ของคุณ ทำความเข้าใจลูกค้าเป้าหมายของคุณว่าเป็นคนในพื้นที่ นักท่องเที่ยว หรือเป็นนักศึกษา ศึกษาคู่แข่งของคุณและระบุสิ่งที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จ หรือช่องว่างในตลาดที่มีอยู่ ซึ่งจะช่วยให้คุณกำหนดเมนู ราคา และกลยุทธ์การตลาดได้

2. เลือกสถานที่ที่เหมาะสม
ร้านอาหารขนาดเล็กจำเป็นต้องมีทำเลที่เหมาะสมจึงจะเติบโตได้ ควรมองหาพื้นที่ที่มีคนเดินผ่านไปมาจำนวนมาก เช่น ใกล้ตึกสำนักงาน มหาวิทยาลัย หรือชุมชนที่อยู่อาศัย ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสามารถเข้าถึงและมองเห็นทำเลได้ง่าย

3. ออกแบบเมนูที่เน้นเฉพาะ
แทนที่จะนำเสนออาหารมากเกินไป ให้สร้างเมนูเล็กๆ ที่คัดสรรมาอย่างดีด้วยอาหารไทยที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น ผัดไทย ต้มยำ แกงเขียวหวาน และส้มตำ การใช้วัตถุดิบคุณภาพสูงและแท้จะทำให้เมนูของคุณโดดเด่นขึ้น คุณสามารถขยายเมนูได้เสมอในภายหลังตามคำติชมของลูกค้า

4. สร้างบรรยากาศไทยที่อบอุ่น
การตกแต่งที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดสามารถสร้างบรรยากาศอบอุ่นและเป็นกันเองแบบไทยๆ ได้ เลือกใช้วัสดุต่างๆ เช่น ไม้ ไม้ไผ่ ผ้าไทยแบบดั้งเดิม และแสงไฟอันอบอุ่น การเปิดเพลงไทยเบาๆ เป็นพื้นหลังจะช่วยเสริมประสบการณ์การรับประทานอาหารให้ดียิ่งขึ้น

5. เชี่ยวชาญศิลปะแห่งการบริการลูกค้า
อาหารที่ดีจะดึงดูดลูกค้า แต่การบริการที่ยอดเยี่ยมจะทำให้ลูกค้ากลับมาอีก ฝึกพนักงานของคุณให้เป็นมิตร ใส่ใจ และมีความรู้เกี่ยวกับอาหารไทย รอยยิ้มและการต้อนรับอย่างจริงใจจะส่งผลดีในระยะยาว

6. เน้นการปรากฏตัวและการจัดส่งออนไลน์
ในปัจจุบัน การมีตัวตนที่แข็งแกร่งบนอินเทอร์เน็ตถือเป็นสิ่งสำคัญ ลงทะเบียนธุรกิจของคุณบนแพลตฟอร์มจัดส่งอาหาร สร้างโปรไฟล์ธุรกิจบน Google และเปิดใช้งานโซเชียลมีเดียของคุณอยู่เสมอ โพสต์รูปภาพอาหารของคุณ โปรโมตรายการพิเศษประจำวัน และตอบกลับรีวิวและความคิดเห็น

7. เริ่มต้นเล็ก ๆ เติบโตอย่างชาญฉลาด
อย่ารีบเร่งขยายกิจการ เน้นที่การส่งมอบคุณภาพที่สม่ำเสมอและสร้างฐานลูกค้าที่ภักดี ติดตามรายรับและรายจ่ายของคุณอย่างใกล้ชิด เมื่อคุณมีประสบการณ์และกำไรมากขึ้น คุณอาจพิจารณาเสนอบริการจัดเลี้ยง จัดคลาสเรียนทำอาหาร หรือเปิดสาขาใหม่

8. ยึดมั่นในรสชาติแบบไทยๆ แต่ปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ
แม้ว่าความถูกต้องตามจริงจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่คุณควรเปิดใจให้สามารถปรับระดับเครื่องเทศหรือส่วนผสมให้เหมาะกับรสนิยมของลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณอยู่นอกประเทศไทย เสนอตัวเลือกสำหรับผู้ทานมังสวิรัติหรือผู้ที่มีข้อจำกัดทางโภชนาการ

การเปิดร้านอาหารไทยเล็กๆ อาจเป็นความฝันที่เป็นจริงสำหรับคนรักอาหารและผู้ประกอบการที่ใฝ่ฝัน ด้วยแนวคิดที่ถูกต้อง ความใส่ใจในรายละเอียด และความมุ่งมั่นในคุณภาพ แม้แต่พื้นที่เล็กๆ ก็สามารถกลายเป็นอัญมณีท้องถิ่นอันเป็นที่รักได้ โปรดจำไว้ว่า ไม่ใช่แค่การเสิร์ฟอาหารเท่านั้น แต่ยังเป็นการแบ่งปันวัฒนธรรมและสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำให้กับลูกค้าทุกคนที่เดินเข้ามาในร้านของคุณอีกด้วย


6
บริหารจัดการอาคาร: วิธีใช้แอร์ที่มักถูกเข้าใจผิด ทำค่าไฟพุ่งกระฉูด

อากาศที่ร้อนอบอ้าวในช่วงหน้าร้อนของประเทศไทย เป็นรอะไรที่แบบทรมานมาก สำหรับใครหลายคนที่ไม่ได้ทำงานในห้องแอร์ หรือบ้านที่ไม่มแอร์คอยช่วยทำให้อากาศเย็น ยิ่งเปิดแอร์บ่อยเท่าไหร่ แอร์ยิ่งทำงานหนัก ทำให้หลายคนต้องเจอค่าไฟฟ้าที่พุ่งกระฉูด แต่จะให้ปิดแอร์ก็ไม่ไหว อยู่ไม่ได้อีก แต่ก็ยังมีวิธีที่จะทำให้ประหยัดค่าไฟได้เพิ่มขึ้น แม้ต้องเปิดแอร์ตลอดทั้งวันทั้งคืน ซึ่งเคล็ดลับดังกล่าวทางของเราเคยแนะนำไปเมื่อครั้งที่แล้ว นอกจากนี้ เราจะมีเคล็ดลับการประหยัดค่าไฟแล้ว

หากเราลองทำตามขั้นตอนหรือวิธีที่เราแนะนำไปแล้วค่าไฟยังสูงอยู่ คุณอาจจะใช้งานแอร์ที่ผิดวิธี เชื่อว่า หลายคนยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการใช้งานแอร์อยู่ ซึ่งนี่ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ค่าไฟพุ่งโดยที่เราไม่รู้ตัว ดังนั้น วันนี้เราจะมาพูดถึงวิธีการใช้แอร์ที่มักจะถูกเข้าใจผิด ซึ่งทำให้อายุการใช้งานของแอร์ลดลง แถมทำให้แอร์ทำงานหนักมากยิ่งขึ้น และยังส่งผลให้ค่าไฟพุ่งกระฉุดอีกด้วย เพื่อเป็นแนวทางให้กับหลายคนที่อาจจะเข้าใจผิด ได้กลับมาใช้งานแอร์ได้อย่างถูกวิธี เพื่อประหยัดค่าไฟให้ถูกลง และยืดอายุการใช้งานของแอร์ของคุณอีกด้วย

อย่างแรกเลยก็คือ การใช้เครื่องเก่าไม่ยอมเปลี่ยน เชื่อหลายๆบ้าน ยังใช้แอร์เก่า ๆ ไม่ยอมเปลี่ยน เพราะเห็นว่ายังใช้ได้อยู่ ซึ่งจริง ๆ แล้วแม้ตัวเครื่องภายนอกจะยังดูดี แต่ระบบภายในก็เสื่อมไปตามระยะเวลาในการใช้งาน โดยเฉพาะแอร์เก่า ๆ ที่ใช้งานมานานเกิน 15 ปี ซึ่งนอกจากจะต้องเสียค่าซ่อมบำรุงแพงแล้ว ยิ่งใช้ยิ่งกินไฟอีกต่างหาก ดังนั้น แทนที่จะช่วยประหยัดอาจต้องจ่ายมากกว่าการซื้อเครื่องใหม่ ซึ่งเครื่องปรับอากาศในตอนนี้ก็มีทั้งการพัฒนาระบบที่ช่วยประหยัดไฟได้มากกว่าแถมยังมีฟังก์ชันเสริมต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์การใช้งานของเรามากขึ้นด้วย หากเรายังฝืนดันทุรังใช้งานแอร์เก่าๆ แน่นอนว่า ค่าใช้จ่ายบานปลายแน่ๆ ข้อต่อมาคือ หลายคนคิดว่า  ยิ่งค่า BTU สูงยิ่งดี ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิดมากๆ

นอกจากนี้ บางคนอาจจะยังเข้าใจผิดคิดว่ายิ่งค่า BTU เยอะยิ่งทำให้บ้านเย็น ซึ่งจริง ๆ แล้วหากเลือกเครื่องปรับอากาศที่มีค่า BTU สูงเกินความจำเป็นก็จะทำให้คอมเพรสเซอร์ตัดบ่อย แต่ถ้าเครื่องปรับอากาศมีค่า BTU ต่ำเกินไปก็จะทำเครื่องทำงานหนักและกินไฟมาก เพราะฉะนั้น ควรเลือกเครื่องปรับอากาศที่มีค่า BTU เหมาะสมกับขนาดของห้อง โดยคำนวนจากสูตรพื้นที่ห้อง (กว้างxยาว) x ค่า Cooling Load Estimation = ค่า BTU ที่เหมาะสม ซึ่งการประเมินค่า Cooling Load Estimation ที่เหมาะสมกับแต่ละห้อง ตัวอย่างเช่น ห้องนอน 700-750 BTU/ตารางเมตร, ห้องนั่งเล่น 750-850 BTU/ตารางเมตร, ห้องรับประทานอาหาร 800-950 BTU/ตารางเมตร, ห้องครัว 900-1000 BTU/ตารางเมตร, ห้องทำงาน 800-900 BTU/ตารางเมตร และห้องประชุม 850-1000 BTU/ตารางเมตร โดยสูตรคำนวณนี้ ค่า BTU เหมาะสำหรับห้องที่มีเพดานไม่เกิน 3 เมตร หากเป็นห้องที่มีความสูงมากกว่าและมีปัจจัยอื่น ๆ เช่น ตำแหน่งของห้อง ทิศทางของแดด เครื่องใช้ไฟฟ้า และจำนวนผู้อาศัย จะต้องบวกค่า BTU เพิ่มขึ้นด้วย ต่อมาในเรื่องของตำแหน่งการติดตั้งแอร์ก็มีความสำคัญ เพราะหากติดตั้งในตำแหน่งที่เหมาะสม

ก็ช่วยให้แอร์ไม่ต้องทำงานหนักและประหยัดค่าไฟได้อีกทางหนึ่ง โดยพื้นที่ที่ติดตั้งแอร์ควรเป็นพื้นที่โล่ง ไม่มีสิ่งของบังทางลม พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงบริเวณที่เป็นมุมอับ การติดตั้งแอร์บนผนังบ้านที่รับแสงแดดจัดหรือทิศตะวันตกเพราะจะทำให้เครื่องทำงานหนัก รวมถึงไม่ติดตั้งแอร์บริเวณใกล้กับประตูหรือหน้าต่าง เนื่องจากจะทำให้ความร้อนภายนอกไหลเข้ามาแทนที่อากาศภายในได้ง่าย

นอกจากนี้ สิ่งที่หลายคนยังเข้าใจผิดก็คือ การเปิดแอร์พร้อมพัดลมทำให้เปลืองไฟ ซึ่งจริง ๆ แล้วเปิดแอร์ให้ประหยัดไฟควรเปิดพัดลมควบคู่กับการเปิดแอร์ไปด้วย จะทำให้ห้องเย็นขึ้นและช่วยประหยัดไฟได้ และอีกข้อหนึ่งก็คือ หลายคนเชื่อว่า เปิดแอร์อุณหภูมิต่ำจะช่วยให้ห้องเย็นเร็วขึ้น หลายคนคงเคยปรับแอร์ให้มีอุณหภูมิต่ำเพราะอยากให้ห้องเย็นเร็วขึ้น ซึ่งจริง ๆ แล้วทำให้สิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ เพราะไม่ว่าตั้งให้อุณหภูมิต่ำสักแค่ไหน ก็ใช้เวลาในการทำความเย็นพอ ๆ กันกับการตั้งอุณหภูมิปกติอยู่ดี ทางที่ดีถ้าหากอยากให้ห้องเย็นเร็วขึ้น ให้เร่งความเร็วพัดลมแอร์จะช่วยได้ดีกว่านั่นเอง หากทราบแล้วว่า พฤติกรรมเหล่านี้ ไม่ได้ช่วยทำให้ประหยัดค่าไฟ ก็ควรรีบปรับปรุงการใช้แอร์ด่วน เพื่อที่จะได้ประหยัดค่าไฟและยืดอายุการใช้งานของแอร์ให้นานยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม หากคุณอยากที่จะตรวจสอบหรือเช็คระบบแอร์ สามารถขอรายละเอียดได้จากทางเรามีบริการดูแลระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศภายในอาคาร ระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศเป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะนั่นหมายถึงอากาศที่ดีที่เราสูดดมเข้าไป ถ้าหากเรามีระบบเครื่องปรับอากาศที่ไม่สะอาดแล้ว อาจจะทำให้เราเสียสุขภาพไปด้วย เพราะฉะนั้นให้ทางเราได้ดูแลในเรื่องของระบบปรับอากาศของคุณให้มีการใช้งานที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

7
โรคความดันโลหิตสูงอย่าปล่อยไว้ อันตรายกว่าที่คิด

ความดันโลหิตสูงเป็นกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง แต่เป็นโรคสำคัญที่ควรได้รับการดูแลเป็นอย่างดีเพื่อไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพในอนาคต เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคไตวายระยะสุดท้าย พื้นฐานการดูแลสุขภาพที่สำคัญในการควบคุมความดันโลหิต ได้แก่ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางสุขภาพของตนเอง และการรักษาโดยการรับประทานยา ซึ่งจะช่วยให้ความดันโลหิตกลับเข้าสู่ระดับที่เหมาะสม ลดโอกาสการเกิดโรคต่างๆ และดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข

 
ความดันโลหิตสูงมีกี่ชนิด

ความดันโลหิตสูง สามารถจำแนกตามสาเหตุการเกิดได้เป็น 2 ชนิด คือ

    ความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ (primary or essential hypertension) พบได้ประมาณ 95% ในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงทั้งหมด ส่วนใหญ่พบในผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย แม้ปัจจุบันจะยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่อย่างไรก็ตามคณะกรรมการร่วมแห่งชาติด้านการประเมินและรักษาโรคความดันโลหิตสูงของสหรัฐอเมริกาพบว่า มีปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องและทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง ได้แก่ กรรมพันธุ์ ความอ้วน การมีไขมันในเลือดสูง การรับประทานอาหารที่มีรสเค็มจัด การไม่ออกกำลังกาย การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ ความเครียด อายุที่มากขึ้น และมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด
    ความดันโลหิตสูงชนิดที่ทราบสาเหตุ (secondary hypertension) พบได้น้อย คือประมาณ 5-10% ส่วนใหญ่เกิดจากการมีพยาธิสภาพของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย โดยจะส่งผลให้เกิดแรงดันเลือดสูง ส่วนใหญ่อาจเกิดจากพยาธิสภาพที่ไต ต่อมหมวกไต โรคหรือความผิดปกติของระบบประสาท ความผิดปกติของฮอร์โมน โรคของต่อมไร้ท่อ โรคครรภ์เป็นพิษ การบาดเจ็บของศีรษะ การใช้ยาและการถูกสารเคมี เป็นต้น

ทั้งนี้เมื่อแพทย์ตรวจพบว่าเกิดจากสาเหตุใด การรักษาที่สาเหตุก็จะทำให้ระดับความดันโลหิตจะลดลงเป็นปกติได้

 
อาการของโรคความดันโลหิตสูง

อาการของโรคความดันโลหิตสูง ปรากฏได้หลายอย่าง ดังนี้

    ปวดศีรษะ
    เวียนศีรษะ (dizziness) มักพบว่าเกิดร่วมกับอาการปวดศีรษะ
    เลือดกำเดาไหล (epistaxis)
    เหนื่อยหอบขณะทำงาน หรือมีอาการเหนื่อยหอบจนนอนราบไม่ได้ แสดงถึงการมีภาวะหัวใจห้องล่างซ้ายล้มเหลว
    อาการอื่นๆ ที่อาจพบร่วม ได้แก่ อาการเจ็บหน้าอกสัมพันธ์กับภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดจากการมีเส้นเลือดหัวใจตีบ หรือจากการมีกล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวมากจากภาวะความดันโลหิตสูงที่เป็นมานานๆ

 
ภาวะแทรกซ้อนจากโรคความดันโลหิตสูง

เมื่อมีความดันโลหิตสูง มักเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้เป็นโรคต่างๆ ได้ เช่น

    หัวใจ อาจเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว มีอาการหัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ มีอาการขาบวม
    ไต อาจเป็นโรคไตเรื้อรัง มีอาการขาบวม ซีด ผิวแห้ง
    สมอง อาจเป็นโรคหลอดเลือดสมอง อาการที่แสดงออก คือ มีอาการปากเบี้ยว อ่อนแรงครึ่งซีก ชาครึ่งซีก หรืออาจมีภาวะสมองเสื่อม
    ตา อาจเกิดความผิดปกติที่จอประสาทตา

 
ความดันโลหิตสูงต้องระวัง และควรพบแพทย์

ผู้ที่มีภาวะใดภาวะหนึ่ง หรือมีพฤติกรรมเสี่ยงดังต่อไปนี้ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ ในการทำกิจกรรมต่างๆ รวมถึงก่อนออกกำลังกาย

    มีค่าความดันโลหิต SBP ≥ 180 มม.ปรอท หรือ DBP ≥ 110 มม.ปรอท
    มีอาการเจ็บหน้าอกหรือหายใจไม่สะดวก โดยเฉพาะเมื่อออกแรงเล็กน้อยหรือขณะพัก
    มีความเสี่ยง หรือเคยมีภาวะหัวใจล้มเหลว
    มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
    มีโรคเบาหวานที่ยังควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี
    มีภาวะเจ็บป่วยเฉียบพลันอื่นๆ
    เป็นผู้สูงอายุ
    มีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่จัด


8
จัดฟันบางนา: การทำความสะอาดเครื่องมือการจัดฟันแบบใส ไม่ให้มีกลิ่น

การรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟัน ถือเป็นเรื่องที่ทุกคนจะต้องเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ เพราะสุขภาพช่องปากและฟันนั้น เป็นเรื่องที่สำคัญและเราจะต้องดูแลรักษาให้มีความสะอาดอยู่เสมอ สุขภาพช่องปากและฟันของเรา มีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเรา เพราะเราจะต้องรับประทานอาหารทุกวันและด้วยเหตุนี้เอง

เราจะต้องทำความสะอาด เพื่อไม่ให้คราบอาหารเข้าไปติดและเกิดการสะสม จนส่งผลให้เกิดฟันผุหรือปัญหาอื่นๆตามมาได้ อาจจะร้ายแรงจนถึงขั้นเกิดการสูญเสียฟันธรรมชาติไปได้เลย และถ้าหากเกิดการสูญเสียฟันแล้ว ก็อาจจะส่งผลทำให้เกิดความเสียหายแก่ฟันข้างเคียงได้ นั่นก็คือ การเกิดฟันล้ม ฟันห่าง ซึ่งหากมีช่องว่างระหว่างฟัน ก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาอีกมากมายตามมา และอาจจะส่งผลไปถึงการบดเคี้ยวอาหารได้ ซึ่งปัญหาฟันในลักษณะนี้ สามารถแก้ไขได้ด้วยการจัดฟัน ซึ่งการจัดฟันนั้น สามารถแก้ไขฟันได้แทบทุกกรณี และยังได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน

แต่การจัดฟันนั้น ในสมัยนี้ก็มีนวัตกรรมที่เกิดขึ้นมามากมาย หนึ่งในนั้นก็คือ การจัดฟันแบบใส ซึ่งการจัดฟันแบบใสนั้น เป็นการจัดฟันที่มีความสะดวก เพราะผู้เข้ารับการจัดฟันจะสามารถถอดเครื่องมือการจัดฟันออกได้ ในขณะที่รับประทานอาหารและในขณะที่ทำความสะอาดช่องปากและฟัน ถึงแม้ว่า จะสามารถถอดเครื่องมือการจัดฟันได้ขณะรับประทานอาหารและแปรงฟัน แต่เครื่องมือการจัดฟันแบบใสนั้น เราก็ต้องทำความสะอาดเป็นประจำทุกวัน เพื่อไม่ให้เครื่องมือการจัดฟันมีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ และไม่เกิดการสะสมของเชื้อโรค ดังนั้น เราก็จะต้องทำความสะอาดอย่างถูกวิธี เพื่อที่จะได้สวมใส่เครื่องมือที่มีความสะอาด ปราศจากกลิ่นอันไม่พึงประสงค์


สำหรับการทำความสะอาดเครื่องมือการจัดฟันแบบใส เราสามารถทำได้ด้วยการนำเครื่องมือการจัดฟันแบบใส ด้วยการใช้น้ำในอุณหภูมิปกติมาถูกับสบู่ทำความสะอาด หลายคนนำแปรงสีฟันมาถูแต่การนำแปรงสีฟันมาถูกับเครื่องมือการจัดฟันแบบใสนั้นอาจจะทำให้เกิดรอยบนเครื่องมือได้ซึ่งเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคและแบคทีเรียต่างๆอาจจะทำให้เกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ได้เพราะฉะนั้นการทำความสะอาดที่ถูกต้องก็ควรนำน้ำในอุณหภูมิปกติมาถูกกับสบู่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วนอกจากนี้ผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใสจะต้องดูแลรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟันให้ดีเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดกลิ่นปากได้เช่นเดียวกัน

นอกจากนี้วิธีการดูแลรักษาสุขภาพช่องปากและฟันของผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใสนั้น และวิธีปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง ก็คือควรจะสวมใส่ตลอดเวลาหรืออย่างน้อยวันละ 20 -22 ชั่วโมงก็จะช่วยทำให้เรามีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีมี ฟันที่สวยเป็นธรรมชาติและหลังจากการแปรงฟันทุกครั้งให้ใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดตามซอกฟันที่การทำความสะอาดเข้าถึงได้ยากนอกจากนี้ ผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใสในช่วงที่สวมใส่ก่อนเข้าไปช่วงแรกๆช่องปากอาจต้องปรับตัวกับการสวมใส่เครื่องมือแบบใส อาจจะทำให้ผลิตน้ำลายมากกว่าปกติ ซึ่งการดื่มน้ำให้มากๆก็จะสามารถช่วยปัญหาในเรื่องนี้ได้ ทางคลินิกเรามีบริการการจัดฟันแบบใส โดยทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ ที่มีประสบการณ์มานานกว่า 10 ปี คอยให้คำปรึกษา หากใครสนใจสามารถติดต่อเข้ารับการประเมินช่องปากในเบื้องต้นได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ


และถ้าหากสนใจทางคลินิกเรามีโปรโมชั่นพิเศษ สำหรับผู้ที่สนใจ โดยราคาเริ่มต้นที่ 49,000 บาท จากปกติ 69,000 บาท ซึ่งทำให้ทุกคนได้มีโอกาสมีรอยยิ้มที่สดใส สวยงามเป็นธรรมชาติ เพื่อให้ทุกคนได้มีบุคลิกภาพที่มั่นใจ เป็นที่น่าประทับใจแก่ผู้พบเห็น อย่างไรก็ตาม ทางคลินิก เราอยากให้ทุกคนมีรอยยิ้มที่มั่นใจ ดังนั้น ทุกคนควรที่จะใส่ใจในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันให้มากเป็นพิเศษ เพื่อที่จะได้มีสุขภาพช่องปากที่แข็งแรง ช่วยทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

9
โพสต์ประกาศฟรี / มือถือ Samsung ซัมซุง SAMSUNG Galaxy ZFold5 Thom Browne Edition
« เมื่อ: วันที่ 26 พฤษภาคม 2025, 13:53:02 น. »
มือถือ Samsung ซัมซุง SAMSUNG Galaxy ZFold5 Thom Browne Edition
115,000 บาท

ซัมซุง SAMSUNG Galaxy ZFold5 Thom Browne Edition
Samsung และ Thom Browne ได้จับมือร่วมกันออกแบบสมาร์ทโฟนชุดพิเศษ Galaxy Z Fold5 Thom Browne Edition ด้วยจุดประสงค์ของการนำเสนอดีไซน์และการสร้างคุณภาพที่สมบูรณ์แบบ เพื่อให้ Galaxy Z Fold5 Thom Browne Edition ยังคงไว้ซึ่งเรื่องราวที่โดดเด่นและมีความน่าดึงดูดใจเหมือนกับคอลเล็กชันรุ่นก่อน ๆ
ด้วยหนังสี Black Pebble ผสมผสานกับโลหะสี Gold และลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์และไม่เหมือนใครของ Thom Browne รวมไปถึงกล่องแพ็คเกจที่ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถัน ลักษณะคล้ายกระเป๋าอันเป็นซิกเนเจอร์ของ Thom Browne โดยด้านในมี Galaxy Z Fold5 Thom Browne Edition และ Galaxy Watch6 สองอุปกรณ์รุ่นใหม่ล่าสุดจาก Samsung บรรจุเอาไว้อยู่

รายละเอียดเบื้องต้น
   ยี่ห้อ-รุ่น                  ซัมซุง SAMSUNG Galaxy ZFold5 Thom Browne Edition
   ราคากลาง                115,000 บาท
   จำนวนซิม               (Nano Sim)
   แบบดีไซน์               ฝาพับ
   สี
   ความถี่-เครือข่าย
2G
3G
4G
5G

   ขนาด-น้ำหนัก                    ยาว 0 x กว้าง 0 x หนา 0 มม., น้ำหนัก 0 กรัม
   ความจุข้อมูลภายใน (ROM)    0 GB
   ความจุข้อมูลภายนอกสูงสุด     -
   แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ        N/A

จอแสดงผล
   ชนิดจอ                    ฝาพับ ()
   ความละเอียด             7.6 นิ้ว, 0 x 0 px
   รายละเอียดอื่น

กล้องถ่ายรูป
   ขนาด-ความละเอียด                   กล้องหลัง (0 Mpx), กล้องหน้า (0 Mpx)
   ความละเอียดของภาพภ่ายสูงสุด
   คุณสมบัติ                                -

ระบบปฏิบัติการ
   หน่วยประมวลผล (CPU)             Qualcomm : Snapdragon 8 Gen 2 Octa Core
   หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU)     Adreno 740
   หน่วยความจำ (RAM)                0.0 GB
   ระบบเชื่อมต่อภายนอก               USB, NFC, Wi-Fi
   ระบบรับส่งข้อความ                       -
   การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต            3G, WiFi, 4G, 5G

10
โพสต์ประกาศฟรี / หมอออนไลน์: บรูเซลโลซิส (Brucellosis)
« เมื่อ: วันที่ 25 พฤษภาคม 2025, 15:45:08 น. »
หมอออนไลน์: บรูเซลโลซิส (Brucellosis)

บรูเซลโลซิส (brucellosis/undulant fever/Mediterranean fever)* เป็นโรคติดเชื้อร้ายแรงที่เกิดในสัตว์เลี้ยง (เช่น โค กระบือ แพะ แกะ อูฐ หมู) สุนัข สัตว์แทะ สัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม (วาฬ โลมา) สัตว์ป่า (กระบือป่า กระต่ายป่า สุนัขจิ้งจอก สุนัขป่า) ซึ่งสามารถติดต่อมาสู่คนได้

โรคนี้พบได้ประปราย ซึ่งมักพบในกลุ่มคนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง (เช่น คนงานในโรงเลี้ยงสัตว์หรือโรงฆ่าสัตว์ สัตวแพทย์ สัตวบาล) หรือบริโภคเนื้อสัตว์และนมที่ติดเชื้อ

ในบ้านเรามีผู้รายงานผู้ป่วยโรคนี้จากการดื่มนมแพะ และการสัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยง (โดยเฉพาะฟาร์มเลี้ยงแพะ) ในจังหวัดราชบุรี (ปี พ.ศ.2546) สตูล (ปี พ.ศ.2546-2547) และกาญจนบุรี (ปี พ.ศ.2548 และ 2549)

* โรคนี้มีความร้ายแรง มีการนำเชื้อบลูเซลลาไปผลิตเป็นอาวุธชีวภาพ เช่นเดียวกับแอนแทรกซ์

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า บรูเซลลา (Brucella) ซึ่งมีอยู่หลายสายพันธุ์ย่อย คนเราสามารถติดโรคจากสัตว์ได้หลายทาง ได้แก่

    สัมผัสสิ่งปนเปื้อน น้ำนม เลือด รก น้ำเมือกในอวัยวะเพศของสัตว์เพศเมีย น้ำเมือกตามตัวลูกสัตว์ที่คลอดออกมาใหม่ ๆ มูลหรือปัสสาวะสัตว์ เชื้อโรคจะเข้าทางบาดแผลหรือรอยถลอก
    กินเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ หรือนมสัตว์ (รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากนม เช่น ไอศกรีม เนยแข็ง) ที่ติดเชื้อ โดยไม่ได้ปรุงให้สุก หรือผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อ
    หายใจสูดเอาฝุ่นหรือละอองของสิ่งคัดหลั่ง น้ำนมที่ปนเปื้อนเชื้อโรคในขณะรีดนมในคอกสัตว์
    ถูกเข็มฉีดวัคซีนป้องกันโรคแก่สัตว์ทิ่มแทง

ระยะฟักตัว ระบุได้ไม่ค่อยแน่นอน อาจเป็นตั้งแต่ 1 สัปดาห์ จนถึงนานกว่า 2 เดือน (ทั่วไปประมาณ 1-2 เดือน)

อาการ

มักมีอาการค่อยเป็นค่อยไปแบบเรื้อรังมากกว่าเฉียบพลัน อาการที่พบบ่อย คือ มีไข้สูง ๆ ต่ำ ๆ แบบเรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆ ไม่แน่นอน (อาจมีไข้ 1-3 สัปดาห์ สลับกับไม่มีไข้ 1-3 วัน) ร่วมกับอาการปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดข้อ ปวดหลัง ปวดเมื่อยตามร่างกายทั่วไป มึนซึม หนาวสั่น เหงื่อออกมาก ไอ เจ็บหน้าอก น้ำหนักลด

ระยะการเจ็บป่วยอาจนานหลายวันหลายเดือน ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจนานเป็นปี หรือนานกว่า

ในรายที่ติดเชื้อทางอาหารการกิน อาจมีอาการคลื่นไส้ ปวดท้อง ท้องเดิน หรือท้องผูก ปวดหลัง ปวดข้อ

บางรายอาจติดเชื้อโดยไม่แสดงอาการชัดเจนก็ได้


ภาวะแทรกซ้อน

เชื้อบรูเซลลาสามารถเข้ากระแสเลือด แพร่กระจายไปยังอวัยวะแทบทุกส่วน ก่อให้เกิดการอักเสบต่าง ๆ ขึ้น

ที่พบบ่อย คือ การอักเสบของกระดูกและข้อ อาการที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ ข้ออักเสบ (ซึ่งมีลักษณะปวดและบวม ที่บริเวณข้อเข่า สะโพก ข้อเท้า ข้อมือ เพียง 1 ข้อ หรือพร้อมกันหลายข้อ) การอักเสบที่กระดูกบริเวณเชิงกราน (sacroileitis) และข้อสันหลังอักเสบ (spondylitis)

ภาวะแทรกซ้อนอื่น เช่น อัณฑะและท่อนำเชื้ออักเสบ (epididymo-orchitis) สมองและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ปลายประสาทเสื่อม (peripheral neuropathy) ตับอักเสบ ฝีตับ ถุงน้ำดีอักเสบ ปอดอักเสบ ภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด (pleural effusion) เยื่อตาอักเสบ ม่านตาอักเสบ หลอดเลือดอักเสบ (vasculitis) ผื่นที่ผิวหนัง (erythema nodosum) เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง และเป็นสาเหตุการตายที่สำคัญ ได้แก่ เยี่อบุหัวใจอักเสบ (endocarditis) ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย มักเกิดกับลิ้นหัวใจเอออร์ติก (aortic valve) และต้องทำการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจอย่างเร่งด่วน


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ส่วนใหญ่จะพบมีไข้ ตับโต ม้ามโต บางรายอาจมีอาการกล้ามเนื้อแข็งตึง ต่อมน้ำเหลืองโต ข้ออักเสบ (ข้อบวมและปวด) อัณฑะอักเสบ

ถ้าป่วยนานกว่า 3-6 เดือน จะพบอาการซูบผอมจากการขาดอาหาร

ในรายที่เป็นเรื้อรัง อาจมีเพียงอาการไข้ต่ำ ๆ หรือมีอาการวิตกกังวล ซึมเศร้า นอนไม่หลับ อาจทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นโรคทางจิตประสาท

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการทดสอบทางน้ำเหลือง (agglutination test, ELISA) การตรวจด้วยวิธี polymerase chain reaction (PCR) การเพาะเชื้อจากเลือด ไขกระดูก น้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด (pleural fluid) หรือน้ำในข้อ (synovial fluid) การตรวจเลือดมักพบเม็ดเลือดขาวต่ำ (โดยมีสัดส่วนของลิมโฟไซต์สูง) เกล็ดเลือดต่ำ เอนไซม์ตับ (AST, ALT) สูงเล็กน้อย บางรายอาจต้องตรวจชิ้นเนื้อตับ (liver biopsy) เอกซเรย์ปอดและกระดูกสันหลัง


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

การรักษา ที่สำคัญคือให้ยาปฏิชีวนะอย่างน้อย 2 ชนิดร่วมกัน เช่น ดอกซีไซคลีน ร่วมกับไรแฟมพิซิน นาน 6 สัปดาห์ ในเด็กและหญิงตั้งครรภ์ให้โคไตรม็อกซาโซลร่วมกับไรแฟมพิซิน หรืออะมิโนโกลโคไซด์ (เช่น เจนตาไมซิน)

ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เยื่อบุหัวใจอักเสบ แพทย์จะรับตัวไว้ในโรงพยาบาลให้ยาปฏิชีวนะร่วมกัน 3-4 ชนิด และให้นานกว่า 6 สัปดาห์

ในรายที่เป็นฝีตับ อาจต้องทำการระบายหนองออก

ในรายที่มีภาวะผิดปกติของลิ้นหัวใจอาจต้องผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ

ผลการรักษา นับว่าได้ผลดี อาการไข้และอาการอื่น ๆ มักจะทุเลาหลังกินยาได้ 4-14 วัน แต่ถ้ากินยาไม่สม่ำเสมอ หรือหยุดยาก่อนกำหนดเวลา ก็อาจมีอาการกำเริบซ้ำได้อีกประมาณร้อยละ 30 โดยทั่วไปแพทย์จะติดตามผลการรักษาเป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี

ในรายที่มีเยื่อบุหัวใจอักเสบร่วมด้วยมักมีอัตราตายค่อนข้างสูง

ในรายที่ไม่ได้รับการรักษา มีอัตราตายโดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 2


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้เรื้อรังหรือเป็น ๆ หาย ๆ นานเป็นสัปดาห์ ๆ ร่วมกับน้ำหนักลด ข้ออักเสบ อัณฑะอักเสบ หรือมีไข้ร่วมกับอาการหนาวสั่น หรือมีอาการปวดท้อง ท้องเดิน (หลังกินเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์หรือนมสัตว์ที่ไม่ได้ทำให้สุกหรือทำให้ปลอดเชื้อ) ซึ่งพบในผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่มีคนหรือสัตว์ป่วยด้วยโรคนี้ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคบรูเซลโลซิส ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    กินยาปฏิชีวนะให้ครบตามระยะที่แพทย์กำหนด (อาจนานถึง 6 สัปดาห์) ถึงแม้อาการดีขึ้นแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้โรคกำเริบ


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 4-14 วัน หรือหลังจากทุเลาแล้วกลับมีไข้กำเริบใหม่
    มีอาการปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก ซึมมาก ไม่ค่อยรู้สึกตัว เพ้อคลั่ง หรือชัก
    หายใจหอบ หรือเจ็บหน้าอกมาก
    ข้ออักเสบ หรืออัณฑะอักเสบ
    มีอาการปวดตา ตามัว ตาแดง
    มีไข้ร่วมกับปวดท้อง ตาเหลืองตัวเหลือง
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

1. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคบรูเซลโลซิสในสัตว์เลี้ยง (โค กระบือ แพะ แกะ หมู)

2. ถ้าสงสัยว่าสัตว์เลี้ยงเป็นโรคนี้ เช่น สัตว์ในคอกมีไข้ ซึม เต้านมอักเสบ ข้อขาอักเสบ เยื่อหุ้มข้ออักเสบ อัณฑะอักเสบ ขาหลังเป็นอัมพาต สัตว์แท้งลูกบ่อย ๆ (โรคนี้มีชื่อเรียกว่า โรคแท้งติดต่อในสัตว์) เป็นหมัน ให้น้ำนมน้อยลง เป็นฝีตามที่ต่าง ๆ ลูกที่คลอดออกมาไม่แข็งแรง เป็นต้น ก็ควรปรึกษาสัตวแพทย์ ถ้าเป็นโรคนี้ก็ควรกำจัดทิ้ง

กรณีสัตว์แท้งลูก ควรเก็บลูกสัตว์ที่แท้งและรกส่งตรวจหาสาเหตุของโรค

3. หมั่นตรวจสอบการติดเชื้อในฝูงสัตว์เลี้ยงด้วยการตรวจเลือดและน้ำนม ถ้าพบว่ามีการติดเชื้อ ควรทำการคัดแยกและทำลาย

4. ผู้ที่ทำงานในฟาร์ม (โดยเฉพาะฟาร์มแพะ) ควรป้องกันไม่ให้สัมผัสถูกเชื้อโรคโดยตรง เช่น

    ขณะทำงานควรสวมถุงมือยางชนิดหนาและทนทาน สวมหน้ากากปิดปากและจมูก ใส่ชุดกันเปื้อน
    ระวังอย่าให้เข็มฉีดยาหรือเจาะเลือดทิ่มตำ
    ล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ภายหลังการสัมผัสถูกน้ำมูก น้ำลาย ปัสสาวะ สารคัดหลั่งจากอวัยวะสืบพันธุ์  เลือด น้ำเหลือง มูลสัตว์ รกและลูกสัตว์ที่แท้ง

5. ถ้าถูกเข็มฉีดวัคซีนโรคนี้ทิ่มต่ำเข้าโดยบังเอิญ ควรรีบล้างแผลด้วยน้ำกับสบู่ หรือน้ำยาฆ่าเชื้อทันที และควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้ยาป้องกัน แพทย์จะให้กินดอกซีไซคลีน 100 มก. วันละ 2 ครั้ง ร่วมกับไรแฟมพิซิน 600-900 มก. วันละ 1 ครั้ง นาน 21 วัน

ถ้าวัคซีนบังเอิญเข้าตาควรรีบล้างออก และควรกินยาป้องกันนาน 4-6 สัปดาห์

6. หลีกเลี่ยงการบริโภคเนื้อสัตว์ที่ไม่ได้ปรุงให้สุก และนมหรือผลิตภัณฑ์จากนมที่ไม่ได้ผ่านกรรมวิธีในการฆ่าเชื้อ (พาสเจอร์ไรซ์) การต้ม หรือการทำให้สุกด้วยความร้อนวิธีอื่น ๆ

7. เมื่อมีผู้ป่วยเกิดขึ้น ไม่จำเป็นต้องแยกผู้ป่วย แต่ต้องระวังอย่าสัมผัสถูกหนองและน้ำเหลืองของผู้ป่วย หนองและเลือดของผู้ป่วยที่ติดตามเสื้อผ้าหรือบริเวณต่าง ๆ ต้องผ่านการทำลายเชื้อ


ข้อแนะนำ

1. โรคนี้ถึงแม้พบได้ไม่บ่อย แต่ถ้าพบผู้ป่วยมีอาการไข้เรื้อรังร่วมกับน้ำหนักลด ข้ออักเสบ อัณฑะอักเสบ หรือการอักเสบของอวัยวะหลายส่วน ก็ควรสงสัยว่าอาจเป็นโรคบรูเซลโลซิส โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ทำงานในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้

นอกจากนี้ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการไม่ชัดเจน คือมีเพียงอาการไข้ต่ำ ๆ เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรังเป็นแรมเดือนแรมปี โดยไม่มีอาการอย่างอื่นชัดเจน อาจทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นโรคจิตประสาท (โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีอาการวิตกกังวล ซึมเศร้า หรือนอนไม่หลับร่วมด้วย)

ดังนั้น ถ้าพบผู้ป่วยมีอาการดังกล่าว อย่าลืมถามประวัติการทำอาชีพที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง (โดยเฉพาะโค กระบือ แพะ หมู) หรือการบริโภคนมวัวหรือนมแพะที่ไม่ได้ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อ หรือเนื้อสัตว์ที่ไม่ได้ปรุงให้สุก

2. โรคนี้ติดต่อจากสัตว์เลี้ยงที่ติดเชื้อ การติดจากคนสู่คนเกิดขึ้นได้น้อยมาก จะติดได้ก็โดยการสัมผัสถูกหนองและน้ำเหลืองของผู้ป่วยเท่านั้น

11
วิธีการใช้งานผ้ากันไฟ ที่ถูกต้องเพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพ

การใช้งานผ้ากันไฟอย่างถูกวิธีควบคู่ไปกับการดูแลรักษาที่เหมาะสมเป็นหัวใจสำคัญในการยืดอายุการใช้งานและคงประสิทธิภาพของผ้ากันไฟให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควร และให้ผ้ากันไฟเป็นอุปกรณ์ที่เชื่อถือได้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน นี่คือวิธีการที่ถูกต้อง:

1. การเลือกและจัดซื้อผ้ากันไฟที่ถูกต้อง (Initial Steps)

เลือกผ้าที่เหมาะสมกับงาน: ก่อนอื่นต้องเลือกประเภทของผ้ากันไฟที่เหมาะสมกับลักษณะงานและความเสี่ยง (ตามที่ได้กล่าวไปในหัวข้อการประเมินความเสี่ยง) เช่น ผ้าสำหรับงานเชื่อม (Welding Blanket) ควรทนสะเก็ดไฟได้ดีกว่าผ้าห่มดับเพลิง (Fire Blanket) สำหรับครัวเรือน
คุณภาพของวัสดุ: ลงทุนในผ้ากันไฟที่ผลิตจากวัสดุคุณภาพสูงและผ่านการรับรองมาตรฐานสากล เพราะวัสดุที่ดีจะมีความทนทานต่อการเสื่อมสภาพมากกว่า
พิจารณาการเคลือบผิว: ผ้าใยแก้วที่เคลือบซิลิโคนมักจะทนทานต่อการสึกหรอ การระคายเคือง และการเสื่อมสภาพจากปัจจัยภายนอกได้ดีกว่าผ้าที่ไม่เคลือบ


2. วิธีการใช้งานที่ถูกต้องเพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพ

การใช้งานที่ถูกต้องจะช่วยลดความเสียหายและยืดอายุผ้าได้:

2.1 สำหรับงาน Hot Work (Welding Blanket):

ไม่ใช้ผิดประเภท: อย่าใช้ผ้าห่มดับเพลิงสำหรับครัวเรือนมาใช้ในงานเชื่อม เพราะจะเสื่อมสภาพและเสียหายได้ง่าย
ขนาดที่พอดี: ใช้ผ้าที่มีขนาดใหญ่เพียงพอที่จะคลุมพื้นที่ทำงานและวัสดุไวไฟได้อย่างมิดชิด การใช้ผ้าผืนเล็กเกินไปแล้วเกิดประกายไฟกระเด็นออกนอกผ้า จะทำให้ผ้าเสียหายและต้องเปลี่ยนบ่อย

ติดตั้งอย่างถูกต้อง:

การยึดตรึง: ยึดผ้าด้วยห่วงตาไก่ (Grommets) กับโครงสร้างที่แข็งแรง เพื่อป้องกันการปลิวหรือเลื่อนหลุด การที่ผ้าปลิวไปโดนเปลวไฟหรือสะเก็ดไฟโดยตรงอาจทำให้เสียหายได้ง่าย
หลีกเลี่ยงการพับทบ/บิดงอ: ในบริเวณที่ต้องสัมผัสความร้อนสูงหรือสะเก็ดไฟ ควรแผ่ผ้าให้เรียบและตึงที่สุด การพับทบอาจทำให้เกิดจุดรวมความร้อนและทำให้ผ้าเสียหายจากความร้อนได้เร็วกว่าปกติ
ตรวจสอบพื้นที่: ก่อนเริ่มงาน Hot Work ทุกครั้ง ควรตรวจสอบพื้นที่ให้แน่ใจว่าได้ย้ายวัสดุไวไฟออกไปหมดแล้ว และถ้าจำเป็นต้องคลุมด้วยผ้ากันไฟ ให้คลุมอย่างถูกต้อง
หลีกเลี่ยงการลากถู: ไม่ควรลากผ้ากันไฟไปบนพื้นผิวที่หยาบหรือมีของมีคม เพราะจะทำให้เกิดการฉีกขาดหรือสึกหรอได้ง่าย

2.2 สำหรับใช้ดับไฟเบื้องต้น (Fire Blanket - สำหรับคลุมไฟ):

ใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น: ผ้าห่มดับเพลิงสำหรับคลุมไฟควรใช้ในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น ไม่ควรนำมาใช้เป็นผ้าคลุมป้องกันทั่วไปในชีวิตประจำวัน
คลุมไฟอย่างนุ่มนวลและมิดชิด: เวลาคลุมไฟ ให้คลุมอย่างระมัดระวังและให้นุ่มนวลที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดแรงกระแทกหรือฉีกขาด และต้องคลุมให้มิด เพื่อประสิทธิภาพในการดับไฟสูงสุด การคลุมไม่มิดอาจทำให้ไฟปะทุซ้ำและผ้าเสียหายเพิ่มขึ้น


3. ความปลอดภัยในการใช้งาน

สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE): โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องสัมผัสกับผ้าใยแก้ว ควรใส่ถุงมือ แว่นตา และเสื้อแขนยาว เพื่อป้องกันการระคายเคืองจากเส้นใยขนาดเล็ก
อย่าใช้เกินขีดจำกัด: ห้ามใช้ผ้ากันไฟกับไฟที่ใหญ่เกินขนาดที่ระบุ หรือไฟที่เกิดจากแหล่งเชื้อเพลิงที่ไม่เหมาะสม (เช่น ไฟไหม้จากก๊าซรั่วไหล หรือไฟฟ้าลัดวงจรที่ยังไม่ได้ตัดกระแสไฟ) เพราะอาจไม่สามารถดับไฟได้และทำให้ผ้าเสียหายอย่างรุนแรง


4. การบำรุงรักษาและการจัดเก็บที่เหมาะสม

นี่คือปัจจัยสำคัญที่สุดในการยืดอายุการใช้งานของผ้ากันไฟ:

การตรวจสอบสภาพประจำ (Regular Inspection):

ตรวจสอบด้วยสายตา: ตรวจสอบรอยฉีกขาด, รู, รอยไหม้, คราบสกปรก, การเปลี่ยนสี, การแข็งกระด้างของเนื้อผ้า หรือการหลุดลอกของสารเคลือบ
ความถี่: สำหรับผ้า Welding Blanket ที่ใช้งานบ่อย ควรตรวจสอบ ก่อนและหลังการใช้งานทุกครั้ง สำหรับ Fire Blanket ที่เก็บในซอง ควรตรวจสอบอย่างน้อย ทุก 6 เดือน หรือตามคำแนะนำผู้ผลิต


ทำความสะอาดอย่างถูกวิธี:

หากผ้าเปื้อนคราบสกปรก คราบน้ำมัน หรือเศษโลหะ ควรทำความสะอาดตามคำแนะนำของผู้ผลิต หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีรุนแรงหรือการซักด้วยเครื่องที่ไม่เหมาะสม เพราะอาจทำลายคุณสมบัติการกันไฟและสารเคลือบได้
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผ้า แห้งสนิท ก่อนจัดเก็บ เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อราหรือการเสื่อมสภาพจากความชื้น

การจัดเก็บที่เหมาะสม (Proper Storage):

ที่แห้งและสะอาด: เก็บผ้ากันไฟในบริเวณที่แห้ง สะอาด ปราศจากฝุ่นละออง และความชื้น
พ้นจากแสงแดดโดยตรง: รังสียูวีจากแสงแดดสามารถทำให้วัสดุบางชนิดเสื่อมสภาพและเปราะเร็วขึ้น
ห่างจากแหล่งความร้อน: เก็บให้ห่างจากเตา เครื่องจักร หรือแหล่งความร้อนอื่นๆ ที่อาจทำให้ผ้าเสื่อมสภาพก่อนเวลา
ป้องกันความเสียหายทางกายภาพ: เก็บในลักษณะที่ป้องกันการฉีกขาด การทิ่มแทง หรือการกดทับ เช่น เก็บในซอง/กล่องบรรจุเดิม หรือแขวนไว้
ง่ายต่อการเข้าถึง: แม้จะจัดเก็บอย่างดี แต่ก็ต้องอยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นได้ง่ายและหยิบใช้ได้สะดวกเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน


ข้อควรจำที่สำคัญที่สุด:

หากผ้ากันไฟชำรุดเสียหาย ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน ต้องเปลี่ยนใหม่ทันที! อย่าพยายามซ่อมแซมหรือนำกลับมาใช้ เพราะประสิทธิภาพการป้องกันจะลดลงอย่างมาก และอาจนำไปสู่อันตรายร้ายแรงได้
ปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ผลิต: คู่มือการใช้งานและการบำรุงรักษาจากผู้ผลิตเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดสำหรับผ้ากันไฟแต่ละชนิด

การปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้จะช่วยให้ผ้ากันไฟของคุณมีอายุการใช้งานยาวนานที่สุด และพร้อมเป็นแนวป้องกันแรกที่เชื่อถือได้ในยามฉุกเฉินครับ

12
การตรวจเพื่อเข้ารับการแก้ไขด้วยการจัดฟันเด็ก

การตรวจเพื่อเข้ารับการแก้ไขด้วยการจัดฟันในเด็กมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ขากรรไกรและฟันยังมีการเจริญเติบโตอยู่ ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาโครงสร้างได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากกว่าในผู้ใหญ่ โดยทั่วไป สมาคมทันตแพทย์จัดฟันแห่งอเมริกา (American Association of Orthodontists - AAO) แนะนำให้เด็กเข้ารับการตรวจกับทันตแพทย์จัดฟันครั้งแรกเมื่ออายุประมาณ 7 ขวบ (หรือเร็วกว่านั้น หากผู้ปกครองสังเกตเห็นปัญหา)

สิ่งที่ทันตแพทย์จัดฟันจะทำการตรวจและพิจารณาในการประเมินเบื้องต้น:

การซักประวัติ (Medical and Dental History Review):

สอบถามประวัติสุขภาพทั่วไปของเด็ก เช่น โรคประจำตัว, ยาที่รับประทาน
สอบถามประวัติทางทันตกรรม เช่น การสูญเสียฟันน้ำนม, พฤติกรรมช่องปากที่ไม่เหมาะสม (เช่น การดูดนิ้ว, การหายใจทางปาก), ประวัติการบาดเจ็บที่ฟันหรือใบหน้า


การตรวจภายในช่องปาก (Oral Examination):

การเรียงตัวของฟัน: ตรวจสอบว่าฟันน้ำนมและฟันแท้ที่ขึ้นมามีการเรียงตัวผิดปกติหรือไม่ เช่น ฟันซ้อนเก, ฟันห่าง, ฟันหมุน
การสบฟัน (Bite Assessment): ตรวจสอบว่าฟันบนและฟันล่างสบกันอย่างไรเมื่อกัดฟัน มีปัญหาการสบฟันผิดปกติหรือไม่ เช่น

ฟันสบลึก (Deep Bite): ฟันหน้าบนคร่อมฟันหน้าล่างมากเกินไป
ฟันสบเปิด (Open Bite): ฟันหน้าบนและล่างไม่สบกันเลยเมื่อกัดฟัน
ฟันสบคร่อม (Crossbite): ฟันบนสบอยู่ด้านในของฟันล่าง
ฟันยื่น (Protrusion): ฟันหน้าบนยื่นออกมามากเกินไป
ฟันล่างยื่น (Underbite): ฟันล่างยื่นออกมาคร่อมฟันบน
ฟันน้ำนมและฟันแท้: ตรวจสอบว่าฟันน้ำนมมีการหลุดไปตามวัยหรือไม่ และฟันแท้กำลังขึ้นมาในตำแหน่งที่ถูกต้องหรือไม่
สุขภาพเหงือกและเนื้อเยื่ออ่อน: ประเมินสุขภาพเหงือกและเยื่อบุช่องปาก
พฤติกรรมช่องปาก: สังเกตพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น การดูดนิ้ว, การหายใจทางปาก, การกัดลิ้น, การกลืนที่ผิดปกติ ซึ่งอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตของขากรรไกรและฟัน


การตรวจโครงสร้างใบหน้าและขากรรไกร (Facial and Jaw Assessment):

ประเมินความสมดุลของใบหน้า
ตรวจสอบการเจริญเติบโตของขากรรไกรบนและล่างว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร มีปัญหาขากรรไกรยื่นหรือหดหรือไม่
ตรวจสอบข้อต่อขากรรไกร (TMJ - Temporomandibular Joint)


การถ่ายภาพรังสี (X-rays):

ภาพถ่ายรังสีรอบช่องปาก (Panoramic X-ray): เพื่อดูฟันที่ยังไม่ขึ้น, ฟันคุด, ฟันเกิน, ฟันขาด, การเจริญเติบโตของขากรรไกร, และตรวจหาพยาธิสภาพอื่นๆ

ภาพถ่ายรังสีด้านข้างศีรษะ (Cephalometric X-ray): เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของขากรรไกร ฟัน และโครงสร้างใบหน้า เพื่อวางแผนการรักษา


การพิมพ์ปาก (Impressions/Digital Scans):

เพื่อสร้างแบบจำลองฟันของเด็ก ซึ่งจะช่วยให้ทันตแพทย์สามารถวิเคราะห์ปัญหาการสบฟันได้อย่างละเอียด และใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนการรักษา


การถ่ายภาพ (Photographs):

ถ่ายภาพใบหน้า (ด้านหน้า, ด้านข้าง) และภาพภายในช่องปาก เพื่อใช้ในการวินิจฉัย วางแผนการรักษา และติดตามความคืบหน้า
หลังการตรวจ ทันตแพทย์จัดฟันจะ:

แจ้งผลการวินิจฉัย: อธิบายถึงปัญหาที่พบอย่างชัดเจน
นำเสนอแผนการรักษา: อธิบายทางเลือกในการจัดฟันที่เหมาะสม (เช่น การจัดฟันแบบ 1 ระยะ หรือ 2 ระยะ) รวมถึงประเภทของเครื่องมือ (เช่น EF Line, เครื่องมือขยายขากรรไกร, จัดฟันแบบติดแน่น)
บอกระยะเวลาและค่าใช้จ่ายโดยประมาณ: เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถวางแผนได้

ให้คำแนะนำ: เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพช่องปากและพฤติกรรมที่ควรปรับเปลี่ยน
การตรวจเพื่อเข้ารับการแก้ไขด้วยการจัดฟันในเด็กเป็นการประเมินที่ครอบคลุม เพื่อให้ทันตแพทย์สามารถระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เนิ่นๆ และวางแผนการรักษาที่เหมาะสม เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของฟันและขากรรไกรให้มีความสมดุลและสวยงามที่สุดครับ

13
คอนโดติดรถไฟฟ้า ซิตี้โฮม สนามบินน้ำ-รัตนาธิเบศร์ (City Home Sanambinnam-Rattanathibet)
เริ่มต้น 1.15 ลบ. 

ซิตี้โฮม สนามบินน้ำ-รัตนาธิเบศร์ (City Home Sanambinnam-Rattanathibet)
คอนโดโครงการใหม่เข้าถึงโครงการได้ง่าย เดินทางสะดวก ใกล้ทางด่วน เข้าเมืองสะดวก ใกล้รถไฟฟ้าสถานีแยกแนนทบุรี 1 พร้อมรถ Shutter Service รับ-ส่ง

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ                   ซิตี้โฮม สนามบินน้ำ-รัตนาธิเบศร์ (City Home Sanambinnam-Rattanathibet)
 เจ้าของโครงการ              ศุภาลัย
 แบรนด์ย่อย                    ซิตี้ โฮม
 ราคา                           เริ่มต้น 1.15 ลบ.
 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.           โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะทำเล                 คอนโดใกล้ขนส่งสาธารณะ
 ความสูงคอนโด               Low Rise (ไม่เกิน 8 ชั้น)
 ลักษณะกรรมสิทธิ์            โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี               สตูดิโอ, 1 ห้องนอน
 ขนาดห้องที่มี                  ตั้งแต่ 25.50 ถึง 30.50 ตร.ม.
 เนื้อที่ทั้งหมด                  51 ไร่ 1 งาน 22 ตร.ว.
 จำนวนตึก                      2 อาคาร
 จำนวนชั้น                      8 ชั้น (ไม่รวมดาดฟ้า)
 จำนวนห้อง                     558 ยูนิต + ร้านค้า 4 ยูนิต
 ที่จอดรถทั้งหมด               ประมาณ 33% (188 คัน ไม่รวมซ้อนคัน)
 ค่าบำรุงส่วนกลาง              โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 สาธารณูปโภค                  ฟิตเนส, รปภ., กล้องวงจรปิดโครงการ

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน              นนทบุรี, บางบัวทอง, บางใหญ่, ปากเกร็ด
 ที่ตั้ง              ถนนเลี่ยงเมืองนนทบุรี ต.ท่าทราย อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี 11000

 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:                        โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
ตลาดต้นสัก
Lotus’s รัตนาธิเบศร์
ท่าน้ำนนท์
Esplanade Cineplex งามวงศ์วาน-แคราย
Big C รัตนาธิเบศร์ 2
Major Cineplex นนทบุรี
Big C ติวานนท์
ตลาดปากเกร็ด
CentralPlaza แจ้งวัฒนะ
The Mall Lifestore งามวงศ์วาน
Major Hollywood ปากเกร็ด
Big C Supercenter วงศ์สว่าง
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ
วิทยาลัยเทคโนโลยีสยามบริหารธุรกิจ นนทบุรี
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยนนทบุรี
โรงพยาบาลกรุงไทย
โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า
สถาบันโรคทรวงอก

14
ซ่อมบำรุงอาคาร: เลือกตำแหน่งติดตั้งแอร์บ้านอย่างไร ให้เย็นทั่วห้อง!?

หลายคนทราบกันดีว่า อาากาศในบ้านเรานั้น ร้อนอบอ้าวตลอดทั้งปี สำหรับบ้านใครที่มีเครื่องปรับอาหาศ ก็สามารถคลายร้อนได้บ้าง แต่หลายบ้านที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศก็ต้องทนร้อนไปตลอดทั้งวัน สำหรับคนที่มีแอร์ หลายคก็อาจจะต้องเจอกับค่าไฟที่แพงในแต่ละเดือน ซึ่งต้องแลกกับความเย็นสบาย ยิ่งในหน้าร้อนอากาศก็ยิ่งร้อนจนทำให้แอร์ต้องทำงานหนักมากขึ้น

ซึ่งอาจจะมีสาเหตุมาจากความสกปรกของแอร์ หรือตำแหน่งวางแอร์ที่ไม่เหมาะสม อาจจะทำให้ความเย็นไม่สามารถกระจายไปได้ทั่วห้อง ดังนั้น การวางตำแหน่งแอร์ที่ดี ก็มีความสำคัญมากเช่นเดียว ยิ่งเราติดตั้งในตำแหน่งที่เหมาะสมและถูกต้อง นอกจากจะทำให้ห้องเย็นสบายแล้ว ยังช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าจำนวนมหาศาลได้อีกด้วย เพียงแค่เราติดตั้งแอร์ในตำแหน่งที่ดี ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงการเลือกตั้งติดตั้งแอร์ที่จะช่วยให้ความเย็นกระจายทั่วทั้งห้อง เพราะการวางตำแหน่งแอร์สามารถทำให้แอร์กระจายได้ทั่วถึง ไม่ทำงานหนัก แถมยังทำให้เราไม่เสียสุขภาพอีกด้วย

สำหรับตำแหน่งในวางแอร์ในห้องนอนเราเราควรวางแอร์ให้ลมแอร์เป่าไปในแนวขวาง ขณะที่ร่างกายได้รับการพักผ่อนนอนหลับอยู่บนเตียง ร่างกายจะมีอุณหภูมิลดลงจึงต้องวางตำแหน่งแอร์ให้ลมเป่าไปในแนวขวางของเตียงนอน เพื่อไม่ให้ความเย็นปะทะเข้ากับร่างกายโดยตรง วิธีนี้จะทำให้เราไม่ป่วยง่ายและทำให้แอร์เป่าลมเย็นสบายไปทั่วห้องอีกต่างหาก และในการติดตั้งแอร์ เราจะต้องดูรูปทรงห้องหรือลักษณะของห้องว่าห้องเป็นรูปทรงแบบไหน รวมถึงมีขนาดห้องเล็ก กลาง หรือใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่คอนโดหรือบ้านมักจะออกแบบเป็น รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ดังนั้นการติดตั้งแอร์ควรเป็นแนวยาว เพื่อให้ความเย็นกระจายได้อย่างทั่วถึงทุกมุมห้องนั่นเอง


และที่สำคัญมากที่สุดคือ ควรเลือกตำแหน่งที่ทำความสะอาดได้สะดวก เพราะแอร์ของเราควรได้รับการดูแลทำความสะอาดอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง นอกจากจะช่วยทำให้แอร์มีความสะอาด ให้เราได้สูดดมอากาศที่บริสุทธิ์แล้ว ยังช่วยประหยัดค่าไฟ ดีต่อสุขภาพของคนในบ้านอีกด้วย ดังนั้น หลังจากวางแอร์ในตำแหน่งที่เหมาะสมแล้ว เราต้องคำนึงถึงการทำความสะอาด ซึ่งก็ไม่ควรให้ชิดเพดานหรือฝ้ามากเกินไป จะทำให้ถอดชิ้นส่วนออกมาล้างลำบาก และจะทำให้เพดานเกิดความชื้นได้ง่ายจนกลายเป็นเชื้อรา เป็นอันตรายต่อคนในบ้าน นอกจากนี้ เฟอร์นิเจอร์ที่อยู่ข้างใต้แอร์ ต้องสามารถเคลื่อนย้ายได้ง่าย พอเวลาช่างมาล้างหรือเราทำความสะอาดเองจะได้ไม่เลอะเทอะสกปรก และอีกข้อหนึ่งที่เราควรจะใส่ใจคือ ตำแหน่งของแอร์ เราไม่ควรอยู่ตรงข้ามกับจุดนั่งหรือจุดนอน โดยตำแหน่งตรงกันข้าม หมายถึง ตำแหน่งที่ผู้อยู่อาศัยต้องใช้งานระยะยาว อาจเป็นการนั่งทำงานทั้งวัน นอนหลับพักผ่อนตลอดค่ำคืน


เนื่องด้วยหากลมเย็นของแอร์กระทบกับร่างกายโดยตรงต่อเนื่องยาวนาน มักส่งผลให้ร่างกายเจ็บป่วย ผิวแห้ง ระคายเคืองตา เกิดอาการภูมิแพ้ได้ง่าย ตัวอย่างเช่น กรณีห้องนอนไม่ควรให้ตรงข้ามเตียงนอน กรณีห้องทำงาน ไม่ควรตรงข้ามกับตำแหน่งโต๊ะทำงาน แต่หากเป็นตำแหน่งที่ใช้งานชั่วคราว เช่น โต๊ะอาหาร, มุมรับแขก หรือโซนอื่น ๆ ที่ใช้งานชั่วคราวจะไม่ส่งผลกระทบมากนัก อย่างไรก็ตาม การวางตำแหน่งของคอมเพรสเซอร์ ก็มีความสำคัญ เราควรวางคอมเพรสเซอร์ในบริเวณที่ระบายความร้อนได้ดี เป็นที่โปร่ง ไม่มีสิ่งกีดขวาง

วางตัวเครื่องให้ห่างจากกำแพงออกมาเล็กน้อย ควรวางไว้ที่ระเบียงข้างนอก หากไม่มีระเบียงให้แขวนกับผนังด้านข้าง หรือหาพื้นที่แขวนที่โล่ง ลมจะได้ไม่ตีลมร้อนกลับมา นอกจากนี้ ควรวางบริเวณที่สามารถระบายความร้อนได้ดีและส่งเสียงรบกวนได้โดยไม่รบกวนสิ่งรอบข้าง ยกระดับให้เหนือพื้นดินอย่างต่ำ 10 เซนติเมตร หรือพ้นจากระดับที่น้ำสามารถท่วมถึง และอยู่ในบริเวณที่ซ่อมบำรุงได้ง่าย และสิ่งที่ต้องระมัดระวังคือ หลีกเลี่ยงการติดตั้งแอร์บริเวณที่มีโอกาสติดไฟได้ เพราะน้ำยาแอร์บางชนิดสามารถติดไฟได้บ้างจึงควรเลี่ยงเอาไว้ก่อน จะเห็นได้ว่า เทคนิคของการใช้งานแอร์นั้น มีหลายปัจจัยที่จะต้องคำนึงถึง เพราะทุกอย่างล้วนมีความสัมพันธ์กัน ก็จะช่วยทำให้ประหยัดไฟ ยืดอายุการใช้งานได้ยาวนานขึ้น

ดังนั้น หากบ้านไหนอยากจะติดตั้งแอร์ หรือปรึกษาปัญหาเกี่ยวกับการจัดการอาคาร ไม่ว่าจะเป็น ระบบทำความเย็น การทำความสะอาด หรืองานช่างต่างๆ สามารถติดต่อทางเราได้ อยากให้ทุกคนได้อาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ที่มีความสะอาด เพื่อช่วยให้เราได้มีสุขภาพที่ดี ห่างไกลจากเชื้อโรคและมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทางเรามีบริการทำความสะอาดพื้นที่สาธารณะเพื่อให้ทุกคนได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่สะอาดเพราะเราห่วงใยในความปลอดภัยของลูกค้า เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในทุกสภาพแวดล้อม ทั้งนี้ เรายังได้มีการคัดสรรสิ่งที่จะนำมาใช้ในการทำความสะอาด เพื่อให้เหมาะสมกับสถานที่นั้นๆมากที่สุด เพื่อให้ทุกคนได้ปลอดภัย และลดความเสี่ยงของการสัมผัสเชื้อโรคด้วย

15
โพสต์ประกาศฟรี / หมอประจำบ้าน: โรคเกาต์ (Gout)
« เมื่อ: วันที่ 20 พฤษภาคม 2025, 14:13:28 น. »
หมอประจำบ้าน: โรคเกาต์ (Gout)

โรคเกาต์ เป็นโรคปวดข้อเรื้อรังชนิดหนึ่งที่พบได้ประมาณ 2-4 คนใน 1,000 คน พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 9-10 เท่า ส่วนมากจะพบในผู้ชายอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป ส่วนผู้หญิงพบได้น้อย ถ้าพบมักจะเป็นหลังวัยหมดประจำเดือน

สาเหตุ

ส่วนมากมีสาเหตุจากร่างกายสร้างกรดยูริก* มากเกินไป เนื่องจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ จึงมักพบมีพ่อแม่ญาติพี่น้องเป็นโรคนี้ด้วย

ส่วนน้อยอาจมีสาเหตุจากร่างกายมีการสลายตัวของเซลล์มากเกินไป (เช่น โรคธาลัสซีเมีย มะเร็งเม็ดเลือดขาว การใช้ยารักษามะเร็งหรือฉายรังสี เป็นต้น) อาจเกิดจากไตขับกรดยูริกได้น้อยลง (เช่น ภาวะไตวาย ตะกั่วเป็นพิษ)

ความอ้วน/ภาวะน้ำหนักเกิน การดื่มแอลกอฮอล์ (โดยเฉพาะเบียร์) การกินอาหารที่ให้กรดยูริกสูง การได้รับบาดเจ็บที่ข้อกระดูก การใช้ยา เช่น ไทอาไซด์ แอสไพริน ไซโคลสปอริน (cyclosporin) เลโวโดพา (levodopa) ยาลดความดันกลุ่มต้านเอซ (ACE inhibitors เช่น อีนาลาพริล) และกลุ่มเออาร์บี (ARB เช่น วาลซาร์แทน) อาจกระตุ้นให้อาการกำเริบได้

นอกจากนี้ โรคนี้อาจพบร่วมกับโรคเรื้อรัง เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดผิดปกติ กลุ่มอาการเมตาบอลิก ไตวาย เป็นต้น

*กรดยูริก เป็นสารชนิดหนึ่งที่เป็นผลมาจากการเผาผลาญสารเพียวรีน (purine ซึ่งมีมากในเครื่องในสัตว์ สัตว์ปีก เนื้อแดง อาหารทะเล ยีสต์ พืชผักหน่ออ่อนหรือยอดอ่อน) และการสลายตัวของเซลล์ในร่างกาย จึงเป็นสิ่งที่พบได้เป็นปกติในเลือดของคนเรา และจะถูกขับออกทางไต แต่ถ้าหากว่าร่างกายมีการสร้างกรดยูริกมากเกินไป หรือไตขับกรดยูริกได้น้อยลง ก็จะทำให้มีกรดยูริกคั่งอยู่ในร่างกายมากผิดปกติ ซึ่งจะตกผนึกสะสมอยู่ตามข้อ ผิวหนัง ไตและอวัยวะอื่น ๆ ทำให้เกิดอาการไม่สบายต่าง ๆ

อาการ

มีอาการปวดข้อรุนแรง ซึ่งเกิดขึ้นฉับพลันทันที ถ้าเป็นการปวดครั้งแรกมักจะเป็นเพียงข้อเดียว ข้อที่พบมาก ได้แก่ นิ้วหัวแม่เท้า (ส่วนข้อเท้า ข้อเข่า ก็อาจพบในผู้ป่วยบางราย) ข้อจะบวมและเจ็บมากจนเดินไม่ไหว ผิวหนังในบริเวณนั้นจะตึง ร้อนและแดง และจะพบลักษณะจำเพาะ คือ ขณะที่อาการเริ่มทุเลา ผิวหนังในบริเวณที่ปวดนั้นจะลอกและคัน

ผู้ป่วยมักเริ่มมีอาการปวดตอนกลางคืน และมักจะเป็นหลังดื่มแอลกอฮอล์ (ทำให้ไตขับกรดยูริกได้น้อยลง) หรือหลังกินเลี้ยง หรือกินอาหารมากผิดปกติ หรือเดินสะดุด บางครั้งอาจมีอาการขณะมีภาวะเครียดทางจิตใจ เป็นโรคติดเชื้อ หรือได้รับการผ่าตัดด้วยสาเหตุอื่น

บางครั้งอาจมีไข้ หนาวสั่น ใจสั่น ชีพจรเต้นเร็ว อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร

ในการปวดข้อครั้งแรก มักจะเป็นอยู่เพียงไม่กี่วัน แม้จะไม่ได้รับการรักษาก็จะค่อย ๆ หายไปได้เอง

ถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษา ในระยะแรก ๆ อาจกำเริบทุก 1-2 ปี โดยเป็นที่ข้อเดิม แต่ต่อมาจะเป็นถี่ขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ทุก 4-6 เดือน แล้วเป็นทุก 2-3 เดือน จนกระทั่งทุกเดือน หรือเดือนละหลายครั้ง และระยะการปวดจะนานวันขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกลายเป็น 7-14 วัน จนกระทั่งหลายสัปดาห์หรือปวดตลอดเวลา ส่วนข้อที่ปวดก็จะเพิ่มจากข้อเดียวเป็น 2-3 ข้อ (เช่น ข้อมือ ข้อศอก ข้อเข่า ข้อเท้า นิ้วมือ นิ้วเท้า) จนกระทั่งเป็นเกือบทุกข้อ

ในระยะหลัง เมื่อข้ออักเสบหลายข้อ ผู้ป่วยมักสังเกตว่ามีปุ่มก้อนขึ้นที่บริเวณที่เคยอักเสบบ่อย ๆ เช่น ข้อนิ้วเท้า ข้อนิ้วมือ ข้อศอก ข้อเข่า รวมทั้งที่หู เรียกว่า ตุ่มโทฟัส (tophus/tophi) ซึ่งเป็นแหล่งสะสมของสารยูริก ปุ่มก้อนนี้จะโตขึ้นเรื่อย ๆ จนบางครั้งแตกออกมีสารขาว ๆ คล้ายชอล์กหรือยาสีฟันไหลออกมา กลายเป็นแผลเรื้อรัง หายช้า ในที่สุดข้อต่าง ๆ จะค่อย ๆ พิการและใช้งานไม่ได้


ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิดภาวะข้อพิการ นิ่วในทางเดินปัสสาวะ (พบได้ประมาณร้อยละ 25) ซึ่งอาจทำให้มีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะแทรกซ้อนตามมาได้

นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ป่วยโรคเกาต์มักมีโอกาสเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง และภาวะหลอดเลือดแดงแข็งมากกว่าคนปกติ (สันนิษฐานว่าอาจมีความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ของโรคเหล่านี้ร่วมกับโรคเกาต์) และถ้าหากไม่ได้ควบคุมโรคเหล่านี้ ในที่สุดก็อาจกลายเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคในหลอดเลือดสมองตีบและไตวายได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย ซึ่งจะตรวจพบข้อที่ปวดมีลักษณะบวมแดงร้อน อาจมีไข้ร่วมด้วย บางรายอาจมีตุ่มโทฟัส

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้ชัดเจนโดยการเจาะเลือดหาระดับของกรดยูริกในเลือด (ค่าปกติเท่ากับ 3-7 มก./ดล.) ถ้าผลการตรวจไม่ชัดเจน อาจต้องทำการเจาะดูดน้ำจากข้อที่อักเสบไปส่องตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ ถ้าเป็นเกาต์จะพบผลึกของยูเรต นอกจากนี้อาจต้องตรวจพิเศษอื่น ๆ ถ้าจำเป็น

การรักษาโดยแพทย์

ในรายที่มีอาการข้ออักเสบ แพทย์จะให้ยาลดข้ออักเสบ เช่น ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ หรือคอลชิซีน ถ้าไม่ได้ผลอาจให้สเตียรอยด์

ในรายที่เป็นเกาต์เรื้อรัง แพทย์จะให้คอลชิซีนกินเป็นประจำ เพื่อป้องกันมิให้ข้ออักเสบกำเริบ

ที่สำคัญ ผู้ป่วยจำเป็นต้องกินยาลดกรดยูริก* เป็นประจำ เพื่อควบคุมระดับกรดยูริกในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่งมักจะให้เมื่ออาการข้ออักเสบทุเลาแล้ว ยาลดกรดยูริกมีให้เลือกใช้อยู่ 2 ชนิด ได้แก่

    ยาลดการสร้างกรดยูริก เช่น ยาเม็ดอัลโลพูรินอล (allopurinol) ซึ่งแพทย์นิยมใช้ยาชนิดนี้เป็นอันดับแรก ยานี้อาจทำให้เกิดการแพ้รุนแรงได้ (ถ้ากินแล้วมีอาการผื่นคัน หรือพุพองตามตัว ควรหยุดยาทันที) และอาจทำให้ตับอักเสบได้
    ยาขับกรดยูริก เช่น ยาเม็ดโพรเบเนซิด (probenecid) ซึ่งแพทย์จะใช้เมื่อใช้อัลโลพูรินอลไม่ได้ ผู้ป่วยที่กินยานี้ ควรดื่มน้ำประมาณวันละ 3 ลิตร เพื่อป้องกันมิให้เกิดนิ่วไต เนื่องจากการตกตะกอนของกรดยูริก ยานี้ห้ามใช้ในผู้ที่มีนิ่วไตหรือภาวะไตวาย

แพทย์จะให้ผู้ป่วยกินยาลดกรดยูริกเป็นประจำทุกวันไปจนตลอดชีวิต จะช่วยให้สารยูริกที่สะสมตามข้อและอวัยวะต่าง ๆ ละลายหายไปได้ รวมทั้งตุ่มโทฟัสจะยุบหายไปในที่สุด ผู้ป่วยที่ใช้ยาลดกรดยูริกก็ไม่จำเป็นต้องงดอาหารประเภทเนื้อสัตว์และเครื่องในสัตว์อย่างเคร่งครัด สามารถกินอาหารได้ทุกชนิดในปริมาณที่พอเหมาะกับขนาดของยาที่ใช้

ผู้ป่วยจำเป็นต้องไปรับการตรวจหาระดับกรดยูริกในเลือดเป็นระยะ ๆ แม้ว่าจะไม่มีอาการผิดปกติแล้วก็ตาม ทั้งนี้เพื่อติดตามดูว่าระดับกรดยูริกในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่

ผลการรักษา ถ้าได้รับการตรวจรักษาจากแพทย์และรู้จักดูแลตนเองอย่างจริงจังและต่อเนื่อง จะสามารถควบคุมโรคและป้องกันภาวะแทรกซ้อน มีคุณภาพชีวิตที่ดีและอายุยืนยาวได้ แต่ถ้าปล่อยปละละเลยหรือไม่ปฏิบัติตัวตามที่แพทย์แนะนำ ก็มักมีภาวะแทรกซ้อนตามมาในที่สุด มีความยุ่งยากในการดูแลรักษา สูญเสียคุณภาพชีวิต และอาจเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

ข้อควรปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วย

    ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 3 ลิตร เพื่อป้องกันนิ่วไต
    ถ้าอ้วน ควรลดน้ำหนักลงทีละน้อย อย่าลดฮวบฮาบ อาจทำให้มีการสลายตัวของเซลล์รวดเร็ว และมีการสร้างกรดยูริก ทำให้ข้ออักเสบกำเริบได้
    ควรงดแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเบียร์
    ควรระวังอย่าให้ข้อกระดูกได้รับบาดเจ็บ
    หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่อาจทำให้โรคกำเริบ เช่น แอสไพริน ไทอาไซด์
    หลีกเลี่ยงอาหารที่ให้กรดยูริกสูง เช่น เครื่องในสัตว์ ไข่ปลา ปลาซาร์ดีน ปลาแฮริง หอย กะปิ น้ำสกัดเนื้อ น้ำต้มกระดูก อาหารที่ใส่ยีสต์ (ขนมปัง เบียร์) ชะอม กระถิน ยอดแค ดอกสะเดา สาหร่าย ยอดผัก เป็นต้น

ส่วนอาหารที่ให้กรดยูริกปานกลาง ซึ่งผู้ป่วยควรกินได้ พอประมาณอย่าซ้ำบ่อย เช่น เป็ด ไก่ ปลา เนื้อสัตว์ ถั่ว เห็ด ปลาหมึก ปู หน่อไม้ ดอกกะหล่ำ ผักขม ผักปวยเล้ง สะตอ

อาหารที่ให้ยูริกต่ำซึ่งผู้ป่วยกินได้ไม่จำกัด เช่น ธัญพืช ผลไม้ทุกชนิด ผัก (ที่ไม่ใช่ยอดอ่อน) หัวกะหล่ำ ไข่ เต้าหู้ นมพร่องไขมัน โยเกิร์ต เนย ข้าว แป้ง ข้าวโพด ข้าวโอ๊ต ช็อกโกแลต ชา กาแฟ

ผู้ป่วยควรสังเกตว่า อาหารประเภทใดกินแล้วสามารถควบคุมกรดยูริกในเลือดได้ดี ก็ให้เลือกกินอาหารประเภทเหล่านั้น อาหารประเภทใดทำให้โรคกำเริบก็ควรหลีกเลี่ยง

*ควรรอให้ข้อหายอักเสบก่อน จึงเริ่มให้ยาลดกรดยูริก (หรือปรับเพิ่มขนาดในรายที่เคยได้รับยานี้อยู่ก่อนแล้ว) เนื่องเพราะการลดหรือเพิ่มกรดยูริกในเลือดทันทีจะกระตุ้นให้ข้ออักเสบมากขึ้นหรือนานขึ้นได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดข้อ ข้ออักเสบบวมแดงร้อน ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคเกาต์ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา ตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ (ดู "ข้อควรปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วย")


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    กินยาแล้วไม่ทุเลา หรือมีไข้ หรือข้ออักเสบกำเริบ
    ขาดยาหรือยาหาย
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกาต์ (เช่น มีประวัติโรคเกาต์ในครอบครัว) หรือเคยมีอาการของโรคนี้กำเริบมาก่อน ควรป้องกันไม่ให้โรคกำเริบโดยการปฏิบัติตัวตาม "ข้อควรปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วย (โรคเกาต์)"

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้แม้จะเป็นเรื้อรัง แต่หากได้รับการรักษาอย่างจริงจัง ก็มักจะป้องกันมิให้เกิดภาวะแทรกซ้อนและสามารถมีชีวิตปกติสุขได้ ควรแนะนำให้ผู้ป่วยรับการรักษาอย่าได้ขาด ดังนั้น จึงควรกินยาตามแพทย์สั่งไปตลอดชีวิต และหมั่นตรวจเลือดเป็นระยะ ๆ

2. เนื่องจากยาอัลโลพูลินอลมีโอกาสทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการแพ้รุนแรง คือ กลุ่มอาการสตีเวนส์จอห์นสันได้ ถ้าจำเป็นต้องให้ผู้ป่วยกินยานี้เป็นประจำ แพทย์อาจทำการตรวจเลือดดูว่าผู้ป่วยมีพันธุกรรม (ยีนที่มีชื่อว่า HLA-B*5801) ที่จะทำให้เกิดการแพ้ยานี้หรือไม่ ถ้ามีก็จะหลีกเลี่ยงไม่ใช้ยานี้

3. ในรายที่มีเพียงกรดยูริกในเลือดสูงโดยไม่มีอาการปวดข้อหรืออาการอื่น ๆ ก็ไม่ต้องให้ยารักษา ยกเว้นถ้ามีระดับของกรดยูริกสูงเกิน 12 มก./ดล. ก็ควรกินยาลดกรดยูริกเป็นประจำ

4. ผู้ที่มีญาติพี่น้องเป็นโรคเกาต์ ควรตรวจระดับกรดยูริกในเลือดเป็นระยะ

5. อาการข้ออักเสบเฉียบพลันแบบโรคเกาต์ ตรวจพบระดับยูริกในเลือดปกติ ควรเจาะดูดน้ำจากข้อไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ ถ้าพบผลึกของยูเรตก็วินิจฉัยว่าเป็นเกาต์ แต่ถ้าพบว่าเป็นผลึกของแคลเซียมไพโรฟอสเฟต (calcium pyrophosphate) ก็เป็นภาวะเรียกว่า เกาต์เทียม (pseudogout)*

* เกาต์เทียม (pseudogout/calcium pyrophosphate dihydrate crystal deposition disease) เป็นโรคข้ออักเสบเฉียบพลันที่เกิดจากการสะสมของผลึกแคลเซียมไพโรฟอสเฟตตามข้อใหญ่ ๆ เช่น ข้อเข่า ข้อมือ ข้อเท้า เป็นต้น ส่วนใหญ่เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ ส่วนน้อยอาจพบร่วมกับภาวะอื่น ๆ เช่น ต่อมพาราไทรอยด์ทำงานเกิน (hyperparathyroidism) ภาวะมีเหล็กสะสมตามเนื้อเยื่อ (hemochromatosis) ภาวะแมกนีเซียมในเลือดต่ำ (hypomagnesemia) เบาหวาน เป็นต้น มักมีอาการไข้ ปวดข้อ ข้ออักเสบเฉียบพลันกำเริบเป็นครั้งคราวคล้ายโรคเกาต์ บางรายอาจมีอาการปวดข้อและข้อแข็งเรื้อรังคล้ายโรคปวดข้อรูมาตอยด์ โรคนี้ส่วนใหญ่จะทุเลาได้โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน แต่บางรายอาจเกิดการทำลายข้อจนข้อพิการได้

การรักษา ให้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ขณะที่มีอาการกำเริบเฉียบพลัน และอาจให้คอลชิซีน วันละ 1 เม็ด เพื่อป้องกันไม่ให้อาการกำเริบ บางครั้งอาจต้องทำการดูดระบายน้ำจากข้อ และฉีดสเตียรอยด์เข้าข้อเพื่อลดการอักเสบ หรือทำกายภาพบำบัด ถ้าพบภาวะอื่นร่วมด้วยก็ให้การรักษาควบคู่กันไป

หน้า: [1] 2 3 ... 29