ตรวจอาการด้วยตนเอง: โรคบิด (Dysentery)โรคบิดเป็นการอักเสบของลำไส้ใหญ่ โดยเฉพาะส่วนปลาย ทำให้มีอาการปวดเบ่งเวลาถ่ายอุจจาระ และมีมูกเลือดปนในอุจจาระ แบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลักๆ คือ
โรคบิดชิเกลลา (Bacillary Dysentery หรือ Shigellosis):
สาเหตุ: เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในกลุ่ม Shigella
การติดต่อ: ติดต่อได้ง่ายมากโดยการรับประทานอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนอุจจาระของผู้ป่วย หรือจากการสัมผัสสิ่งของที่มีเชื้อปนเปื้อนแล้วนำมือเข้าปาก (Fecal-oral route)
อาการ:
มีไข้ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน
ถ่ายอุจจาระเป็นมูกเลือดบ่อยครั้ง (อาจมากถึง 10-20 ครั้งต่อวัน)
ปวดเบ่ง ทรมาน (Tenesmus) คือรู้สึกอยากถ่ายตลอดเวลาแต่ถ่ายไม่ออก หรือถ่ายออกน้อยมาก
อาจมีอาการชักในเด็กเล็กที่มีไข้สูง
อาการมักเริ่มหลังได้รับเชื้อ 1-3 วัน และหายได้เองใน 3-7 วัน หากไม่รุนแรง
โรคบิดอะมีบา (Amoebic Dysentery หรือ Amoebiasis):
สาเหตุ: เกิดจากการติดเชื้อพยาธิอะมีบา Entamoeba histolytica
การติดต่อ: เกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำดื่มที่มีเชื้อซิสต์ (cyst) ของอะมีบาปนเปื้อนเข้าไป
อาการ:
มักมีอาการค่อยเป็นค่อยไป ไม่รุนแรงเท่าบิดชิเกลลาในระยะแรก
ถ่ายอุจจาระเป็นมูกเลือด มักมีกลิ่นเหม็นคาว แต่ไม่ปวดเบ่งรุนแรงเท่าบิดชิเกลลา
อาจมีอาการท้องผูกสลับท้องเสีย
หากปล่อยทิ้งไว้ เชื้ออะมีบาอาจเข้าสู่กระแสเลือดและไปก่อให้เกิดฝีในอวัยวะอื่นๆ ได้ เช่น ฝีในตับ ฝีในสมอง ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายถึงชีวิต
การวินิจฉัย
ตรวจอุจจาระ: แพทย์จะนำตัวอย่างอุจจาระไปตรวจหาเชื้อแบคทีเรีย หรือซิสต์ของอะมีบา
การรักษา
การรักษาทั่วไป:
ชดเชยน้ำและเกลือแร่: สำคัญมาก เพราะการถ่ายบ่อยทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ ควรดื่มน้ำเปล่า หรือน้ำเกลือแร่ (ORS)
พักผ่อนให้เพียงพอ
ทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย
การรักษาจำเพาะ (ด้วยยาปฏิชีวนะ/ยาฆ่าอะมีบา):
โรคบิดชิเกลลา: มักใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น Ciprofloxacin, Azithromycin หรือ Ceftriaxone (ในกรณีรุนแรง)
โรคบิดอะมีบา: มักใช้ยาฆ่าอะมีบา เช่น Metronidazole หรือ Tinidazole
ข้อควรระวัง: ไม่ควรใช้ยาหยุดถ่ายในผู้ป่วยโรคบิด เพราะจะทำให้เชื้อโรคอยู่ในลำไส้นานขึ้นและอาการแย่ลง
การป้องกัน
การป้องกันโรคบิดเน้นที่สุขอนามัยที่ดีเป็นหลัก:
ล้างมือให้สะอาด ด้วยสบู่และน้ำทุกครั้ง ก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ
ดื่มน้ำสะอาด น้ำต้มสุก หรือน้ำที่ผ่านการกรองที่ได้มาตรฐาน
เลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ และถูกสุขลักษณะ หลีกเลี่ยงอาหารดิบๆ สุกๆ ดิบๆ หรืออาหารที่วางทิ้งไว้นาน
กำจัดอุจจาระอย่างถูกสุขลักษณะ โดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้ป่วย
ดูแลความสะอาดของห้องน้ำ และบริเวณรอบบ้าน
หากมีอาการท้องเสียรุนแรง มีมูกเลือดปนในอุจจาระ หรือมีไข้สูง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาที่ถูกต้องครับ